สถิติผู้เข้าชม
 ขณะนี้มีผู้เข้าใช้ 3
 ผู้เข้าชมในวันนี้ 117
 ผู้เข้าชมทั้งหมด 5,204,011
กรุณาฝาก Email ของท่าน
  เพื่อรับข่าวสาร ที่น่าสนใจ
25 เมษายน 2567
อา จ. อ. พ. พฤ ศ. ส.
 
10  11  12  13 
14  15  16  17  18  19  20 
21  22  23  24  25  26  27 
28  29  30         
             
 
อาหารที่น้องตูบไม่ควรกิน และห้ามกินเด็ดขาด
[27 มีนาคม 2555 09:44 น.]จำนวนผู้เข้าชม 18019 คน

อาหารที่น้องตูบไม่ควรกิน และห้ามกินเด็ดขาด



 

     อาหารเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สุนัขของคุณมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง และมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข ผู้เลี้ยงหลายคนนิยมให้อาหารสำเร็จรูป เพราะสะดวกสบายไม่ต้องเสียเวลาในการเตรียมอาหารให้ยุ่งยาก และยังมีสารอาหารที่จำเป็นอย่างครบถ้วน อีกทั้งอุจจาระของสุนัขยังแข็งเป็นก้อนง่ายต่อการเก็ บทำความสะอาดอีกด้วย


แต่ก็มีผู้เลี้ยงบางกลุ่มนิยมให้อาหารสุนัขตามแต่ควา มต้องการของตนเอง โดยผู้เลี้ยงเข้าใจผิดว่า สุนัขมีความต้องการ และความสามารถในการกินได้เช่นเดียวกับคน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นความคิดที่ผิด อาหารที่คุณให้อาจย้อนกลับมาทำอันตรายถึงชีวิตแก่สุนัขแสนรักของคุณได้ 

อาหารต้องห้ามของสุนัข ที่ผู้เลี้ยงควรหลีกเลี่ยงไม่นำมาให้สุนัขกินได้แก่


-กระดูกไก่ กระดูกปลา
หลายคนคิดว่าหมาเป็นของคู่กับกระดูก แต่ความจริงกระดูกไก่กับกระดูกปลา เป็นอาหารที่สามารถแตกหักในขณะเคี้ยวได้ และทำให้เกิดความแหลมทิ่มแทงเป็นอันตรายต่อสุนัขได้ ซึ่งถ้าจะให้ควรเป็นกระดูกหมูชิ้นใหญ่ๆแทน


-หัวหอมและกระเทียม 
ไม่ควรให้สุนัขรับประทานในปริมาณมาก เพราะหัวหอมและกระเทียม มีส่วนประกอบของกำมะถันอยู่มาก เพราะฉะนั้นไม่เหมาะแก่การผสมในอาหารให้กับเจ้าตูบ เนื่องจากว่า สารกำมะถันนี้จะทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงของเจ้าสุนัข จะทำให้โรคโลหิตจาง และโรคเลือดไหลไม่หยุดได้


-ช็อคโกแล็ต 
ช็อคโกแล็ตมีส่วนประกอบของสารชนิดหนึ่งชื่อว่า theobromine ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับ สารพวก caffeine(ซึ่งมีในพวกกาแฟ โกโก้) สาร theobromine นี้เมื่ออยู่ในร่างกายมันจะมีฤทธิ์หลายอย่าง แต่ที่เห็นเด่นๆชัด คือ จะกรตุ้นให้มีการหลั่งสารที่เรียกกันว่า adrenaline ซึ่งสารตัวนี้จะมีผลทำให้หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออกมาก ถ้ากินมากๆอาจถึงขั้นเป็นพิษได้จะทำให้เกิด อาการ อาเจียน ท้องเสีย หายใจถี่ ฉี่บ่อย กระวนกระวาย และในที่สุดก็ถึงตายได้ มีรายงานในสุนัขบอกว่า ในสุนัขที่น้ำหนักไม่เกิน 5 กก. กินเข้าไปแค่ 400 มก. ก็สามารถแสดงความเป็นพิษได้ การที่สุนัขค่อนข้างจะไวต่อความเป็นพิษของ theobromine นั้นเป็นเพราะว่าร่างกายของมันไม่สามารถที่จะกำจัด theobromine ออกจากร่างกายได้รวดเร็วเหมือนกับสัตว์ชนิดอื่น ตามปกติช็อคโกแลตที่ขายในท้องตลาด ถ้าเป็นแบบหวานจะมี theobromine อยู่ประมาณ 1.5 มก ต่อ ซีซี แต่ถ้าเป็นแบบไม่หวานจะมีประมาณ 13 มก. ต่อ ซีซี

-เครื่องดื่มแอลกอฮอล์  
ทำให้เกิดอาการมึนเมา รวมทั้งอาจเกิดอาการที่ได้รับสารพิษมากเกินไปจนอาจตายได้


 

-องุ่นและลูกเกด  
มีสารพิษที่ทำให้เกิดผลเสียกับไต อาจจะทำให้อาเจียน ปวดท้อง ซึ่งบ่อยครั้งที่เจ้าของไม่รู้ เห็นหมานอนซึมๆ ก็อาจจะนึกว่าง่วง หรือเวลาหมาอาเจียนข้างนอกก็ไม่เห็น

-กินตับในปริมาณมาก 
 
ทำให้เกิดอาการวิตามิน A เป็นพิษ ส่งผลกับกล้ามเนื้อและกระดูก 

-นมวัวและผลิตภัณฑ์จากนม เช่น เนย ชีส 

ระบบย่อยอาหารของสุนัขและแมวส่วนใหญ่จะไม่มีเอนไซม์ท ี่ใช้ย่อยน้ำตาลแลคโตสในนม จึงเป็นสาเหตุให้ท้องเสีย ควรใช้นมสำหรับสัตว์ที่ไม่มีน้ำตาลแลคโตสแทน

-มันฝรั่ง/มะเขือเทศ 
มี Oxalates ซึ่งจะส่งผลกับระบบย่อยอาหาร, ระบบประสาท และระบบขับถ่าย 

-ปลาดิบ :
อาจทำให้เกิดการขาด Thiamine(วิตามิน B ชนิดหนึ่ง) ส่งผลให้ไม่อยากอาหาร ชัก หรืออาจตายได้

- สุนัขไม่ควรทานอาหารที่มีรสจัด เค็มหรือหวานมากๆ เพราะไตของมันไม่ดีเหมือนกับคน และส่งผลเสียต่อสุขภาพมากมายทำให้เกิดโรคในอนาคตได้

     


การเอากระดูกและเนื้อสัตว์ดิบให้น้องหมากินจะมีผลดี-ผลเสียอะไรบ้าง

 

   
   คงมีเจ้าของน้องหมาบางท่านเคยได้ยินคำแนะนำว่า ไม่ควรเอากระดูกสัตว์และเนื้อสัตว์ดิบๆให้น้องหมากิน โดยเฉพาะกระดูกสัตว์ปีก อย่างกระดูกไก่ หรือ เป็ด แต่บางคนก็เคยได้ยินมาอีกว่า จริงๆให้กินได้นะ เพราะหมาในธรรมชาติก็กินกระดูกกินเนื้อดิบกันมาเป็นพันๆปีแล้ว ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ซึ่งทั้งสองฝั่งนี้อยู่ในมุมที่ขัดแย้งกัน หลายคนคงสงสัยว่า เอ๊ะ! แล้วเราจะเชื่อใครดีนะ

    
   หลายคนอาจจะเคยได้ยินการให้อาหารน้องหมาแบบ BARF กันมาบ้าง ซึ่งย่อมาจากคำว่า Biologically Appropriate Raw Food หมายถึงการให้อาหารดิบที่เหมาะสมที่มาจากธรรมชาติ คอนเซปต์นี้มีที่มาจากว่า น้องหมาในธรรมชาติเป็นสัตว์นักล่าที่กินเนื้อสัตว์ ดังนั้นเราควรให้อาหารที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติของสัตว์ตระกูลสุนัขให้มากที่สุด ซึ่งก็คือ เนื้อและกระดูกดิบ ร่วมกับผักสดและธัญพืชต่างๆ โดยกลุ่มผู้ที่สนับสนุนคอนเซปต์นี้ บอกว่าข้อดีของการให้อาหารแบบ BARF นั้นได้แก่ ปัญหากลิ่นปากและช่องปากลดลง เพราะต้องมีการฉีกทึ้ง กัดแทะอาหาร ทำให้มีการขัดฟันไปด้วยในตัว สุขภาพแข็งแรง ไม่มีการใส่สารกันเสียหรือสารกันบูดซึ่งต่างกับอาหารสำเร็จรูปที่ต้องใส่สารเหล่านี้ลงไปเพื่อรักษาคุณภาพอาหาร ความน่ากินของอาหารสูง มั่นใจในคุณภาพของอาหารได้ เพราะวัตถุดิบเนื้อสัตว์ที่เอามาทำอาหารประเภทนี้ ใช้เกรดเดียวกับที่คนกิน และอาหารที่ปรุงสุกอาจทำให้วิตามินและสารอาหารบางชนิดสูญหายหรือเปลี่ยนรูปไปกับความร้อนที่นำมาปรุงอาหาร


    แต่… ก็มีข้อโต้แย้งในหลายๆประเด็นว่าอาหารแบบ BARF จะเหมาะกับสุนัขที่เลี้ยงกันตามบ้านจริงๆหรือไม่ เพราะปัญหาหนึ่งที่มักพบ เมื่อให้สัตว์กินเนื้อดิบก็คือ การปนเปื้อนของแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของอาการท้องเสียและอาเจียนในสุนัข โดยเฉพาะในบ้านเราเนื่องจากโรงงานชำแหละและแหล่งขายเนื้อสัตว์ในบ้านเราหลายแหล่ง (ไม่ใช่ทุกที่นะคะ) อาจไม่ได้มาตรฐานเรื่องความสะอาดนัก (สมัยเรียนผู้เขียนได้มีโอกาสไปฝึกงานตามโรงฆ่าสัตว์ หลายที่ที่ไม่ได้มาตรฐาน สกปรกมาก ทำเอาไม่อยากกินเนื้อสัตว์ไปหลายวัน) และอีกทั้งบ้านเราเป็นเขตร้อน อุณหภูมิค่อนข้างสูง ทำให้อาหารสดและเนื้อสัตว์เน่าเสียได้ง่ายกว่าประเทศในเขตหนาว จึงมีโอกาสที่จะมีการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรียได้ง่าย แต่ในอาหารที่ปรุงสุก ความร้อนจะทำลายแบคทีเรียได้เกือบทุกชนิด จึงมีโอกาสเสี่ยงเรื่องการติดเชื้อแบคทีเรียน้อยกว่า และถ้าในกรณีที่เป็นเนื้อหมูดิบหรือปลาน้ำจืดดิบต้องระวังตัวอ่อนของพยาธิตัวตืดบางชนิดที่อาจติดมายังน้องหมาได้ ส่วนเนื้อไก่และกระดูกไก่ดิบก็ต้องระวังเป็นอย่างมากถ้ามีการระบาดของเชื้อไข้หวัดนกอยู่ในขณะนั้นด้วยนะคะ


   การให้กินกระดูกสัตว์นั้นมีข้อดี คือ น้องหมาจะได้รับการขัดฟันไปตามธรรมชาติด้วยการขบแทะกระดูก แต่ก็มีข้อเสี่ยง คือ อาจมีเศษกระดูกทิ่มแทงผนังลำไส้(โดยเฉพาะกระดูกไก่หรือกระดูกสัตว์ปีก เพราะเป็นกระดูกที่ค่อนข้างเปราะ เวลาขบเคี้ยวมักจะแตกเป็นแท่งแหลมๆ) ทำให้เกิดแผลในทางเดินอาหารได้ ในบางเคสอาจถึงขั้นต้องผ่าตัดเลยก็มีนะคะ และจุดอ่อนอีกจุดนึงของอาหารแบบ BARF ก็คือ ความรู้ทางด้านโภชนาการของเจ้าของน้องหมา เพราะการให้อาหารปรุงเองหรืออาหารแบบ BARF นั้นนอกจากจะคำนึงถึงความสดใหม่ ความน่ากิน ต้องคำนึงถึงคุณค่าทางสารอาหารด้วยนะคะ โดยธรรมชาติของน้องหมาแล้ว เค้าไม่ใช่สัตว์ที่กินเนื้อที่แท้จริง (หมายถึงกินแต่เนื้อสัตว์อย่างเดียว) อย่างน้องแมวนะคะ น้องหมาเป็นสัตว์ที่ปรับตัวให้กินได้ทั้งเนื้อสัตว์และพืช เพียงแต่ว่าจะเอียงมาทางกินเนื้อมากกว่า ดังนั้นจึงต้องคำนึงถึงสมดุลของสารอาหารด้วยนะคะว่าต้องให้อัตราส่วนเนื้อสัตว์เท่าใด ธัญพืชและผักเท่าใดจึงจะเหมาะสมที่สุด ตรงจุดนี้เจ้าของจะต้องศึกษาข้อมูลต่างๆมามากพอสมควร ซึ่งอาจทำให้เจ้าของหลายท่านอาจมองว่ายุ่งยากและเสียเวลาในการเตรียมอาหารให้น้องหมามากเกินไป ณ จุดนี้ก็แล้วแต่มุมมองของเจ้าของแต่ละท่านค่ะ ว่าจะสะดวกในการเตรียมมากน้อยแค่ไหน

   
   การจะให้สรุปว่าการให้เนื้อสัตว์ดิบและกระดูกน้องหมากินนั้นเหมาะหรือไม่ ถ้าเอาความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน คิดว่าอาจจะไม่เหมาะเท่าไหร่ถ้าเจ้าของน้องหมาไม่พิถีพิถันพอและรักษาความสะอาดได้มากพอ เพราะอาจเสี่ยงเรื่องติดเชื้อแบคทีเรียปนเปื้อน หรือพยาธิบางชนิด ยิ่งถ้าให้อาหารเป็นกระดูกด้วยจะมีโอกาสเสี่ยงโดนกระดูกบาดลำไส้จนมีปัญหาตามมาได้ อย่างไรก็ตามถ้าเจ้าของสนใจแนวทางการให้อาหารแบบ BARF ขอให้ศึกษาข้อมูลเรื่องนี้ให้ละเอียดจากแหล่งที่น่าเชื่อถือได้ (โดยเฉพาะข้อมูลจากในอินเตอร์เนต ต้องพิจารณาให้ดีนะคะ เพราะบางเวบไซต์ก็ไม่น่าเชื่อถือค่ะ) และปรึกษากับสัตวแพทย์ที่ดูแลน้องหมาของเราอีกทีนะคะ...





   
ปลาน้ำจืดไทย   ป่าเขา-ทะเลไทย   เที่ยวจัง!...ตังค์จะหมดแล้ว...

 




ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
http://dogclub.in.th/
http://www.google.co.th

 

เรื่องทั่วไปเกี่ยวกับน้องตูบ
- หมาจ๋า [27 มีนาคม 2555 09:44 น.]
- อีฮโยริ ควงแฟนหนุ่มสร้างบ้านให้หมาจรจัด [27 มีนาคม 2555 09:44 น.]
- “Pet Master”ฌาปนกิจสัตว์เลี้ยงครบวงจรเอาใจคนรักน้องหมา [27 มีนาคม 2555 09:44 น.]
- คนรักหมาบุกรัฐสภา ร้องออก พ.ร.บ.คุ้มครองสัตว์ [27 มีนาคม 2555 09:44 น.]
- จะดูยังไงว่าน้องตูบป่วยหรือเปล่า! [27 มีนาคม 2555 09:44 น.]
- สุนัขสามารถป่วยเป็นโรคหัวใจได้ด้วยหรือ? [27 มีนาคม 2555 09:44 น.]
- โรคมะเร็งในน้องตูบ [27 มีนาคม 2555 09:44 น.]
- โรคเบาหวานในน้องตูบ [27 มีนาคม 2555 09:44 น.]
- กระจกตาเสื่อมเนื่องจากไขมัน [27 มีนาคม 2555 09:44 น.]
- พยาธิหนอนหัวใจ [27 มีนาคม 2555 09:44 น.]
ดูทั้งหมด

Copyright@2010 by www.nongtoob.com All right reserved.
Engine by MAKEWEBEASY