 |
 |
 |
 |
 |
 |
 |
 |
 |
 |
 |
 |
 |
 |
 |
 |
 |
 |
 |
 |
 |
สถิติผู้เข้าชม
|
ขณะนี้มีผู้เข้าใช้
|
10
|
ผู้เข้าชมในวันนี้
|
1,336
|
ผู้เข้าชมทั้งหมด
|
5,651,784
|
|
|
|
|
9 พฤษภาคม 2568
|
อา |
จ. |
อ. |
พ. |
พฤ |
ศ. |
ส. |
| | | |
1 |
2 |
3 |
4 |
5 |
6 |
7 |
8 |
9 |
10 |
11 |
12 |
13 |
14 |
15 |
16 |
17 |
18 |
19 |
20 |
21 |
22 |
23 |
24 |
25 |
26 |
27 |
28 |
29 |
30 |
31 |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
อาหาร 12 อย่าง ที่พึงบริโภคสัปดาห์ละครั้ง (จบ)
[8 เมษายน 2554 15:29 น.]จำนวนผู้เข้าชม 5653 คน |
|

กีวี
กีวีเต็มไปด้วยวิตามินซี ซึ่งเป็นตัวละลายสารอนุมูลอิสระขั้นต้นในร่างกาย ทำให้เกิดความเป็นกลางในอนุมูล อนุมูลอิสระจะเข้าไปทำลาย เซลล์ร่างกาย ทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ เช่น การติดเชื้อ โรคมะเร็ง โรคไขข้ออักเสบ โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคหืด ไขมันอุดตันในเส้นเลือด แก้วหูอักเสบ เป็นต้น หากได้รับปริมาณวิตามินซีในจำนวนที่เพียงพอ จะทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายดีขึ้น ส่วนวิตามินเอในกีวีมีคุณสมบัติในการละลายไขมัน ซึ่งวิตามินเอเป็นแหล่งอาหารของเบต้าแคโรทีน เมื่อเข้าไปรวมกับไขมัน และน้ำในร่างกาย ก็จะทำให้สามารถละลายพิษจากอนุมูลอิสระต้นเหตุของการเกิดโรคดังที่กล่าวข้างต้นได้ นักวิจัยพบว่าไฟเบอร์ในอาหารโดยเฉพาะในกีวีนั้นสามารถป้องกันระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ ซึ่งจะลดปัญหาความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหัวใจล้มเหลว โดยไฟเบอร์จะเข้าไปจับพิษให้ออกไปจากลำไส้ใหญ่พร้อมกับอุจจาระ ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญในการป้องกันมะเร็งในลำไส้ใหญ่ อีกทั้งไฟเบอร์ยังเป็นตัวช่วย รักษาระดับน้ำตาลในเลือด ในกลุ่มคนที่เป็นโรคเบาหวานได้อีกด้วย กีวี 1 ผลให้วิตามินซี 55 มก. ซึ่งมากกว่าปริมาณแนะนำให้รับประจำวันถึง 22% การกินกีวีเป็นประจำจะทำให้สุขภาพของคุณดีขึ้น
บร็อกโคลี
บร็อกโคลีนั้นเป็นผักเพื่อสุขภาพ ในกลุ่มกะหล่ำปลี และกะหล่ำดอก เพราะมีส่วนประกอบที่ใกล้เคียงกันทั้งรสชาติ และปริมาณเส้นใย รวมทั้งธาตุกำมะถัน ในทางการแพทย์นั้นมีการวิจัยมาแล้วว่าการบริโภคบร็อกโคลีเป็นประจำสามารถช่วยยับยั้งการลุกลาม แถมยังช่วยลดอัตราเสี่ยงการเป็นมะเร็งปอดได้ ทั้งนี้เพราะว่าในบร็อกโคลีนั้นนอกจากมีวิตามินซีสูงแล้ว ยังมีสารที่ชื่อว่าไอโซธิโอไซยาเนทส์ ที่มีความสามารถช่วยต่อต้านการเกิดโรคมะเร็งปอดนั่นเอง แถมนอกจากนี้แล้วบร็อกโคลียังสามารถป้องกันอัตราเสี่ยงการเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะอีกด้วย บร็อกโคลีต้มสุกครึ่งถ้วยจะได้รับวิตามินซีที่ต้องการประจำวันถึง 60 เปอร์เซ็นต์
มะเขือเทศ
มะเขือเทศมีหลายพันธุ์ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นโรมา เชอร์รี่ มะเขือเทศลูกท้อ เป็นต้น มะเขือเทศสับ 1 ถ้วยจะทำให้เราได้รับวิตามินซีที่ต้องได้รับประจำวันถึง 76 เปอร์เซ็นต์ มะเขือเทศเต็มไปด้วยสารอาหารที่สำคัญ สารแคโรทีนอยด์ ชื่อไลโคพีน ซึ่งเป็นสารสีแดง และวิตามินหลายชนิด เช่น วิตามินบี 1 บี 2 วิตามินเค โดยเฉพาะวิตามินเอ และวิตามินซี จะมีในปริมาณสูง มีกรดมาลิก กรดซิตริก ซึ่งให้รสเปรี้ยว และมีกลูตามิค ซึ่งเป็นกรดอะมิโนช่วยเพิ่มรสชาติให้อาหาร นอกจากนี้ยังประกอบด้วยสารเบต้าแคโรทีน และแร่ธาตุหลายชนิด กินมะเขือเทศประจำจะช่วยลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งในลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมาก รักษาสิว สมานผิวหน้าให้เต่งตึง โดยใช้น้ำมะเขือเทศพอกหน้า ก็จะช่วยให้ปิวหน้าอ่อนนุ่ม ช่วยลดการแข็งตัวของผนังหลอดเลือด รักษาโรคลักปิดลักเปิด เลือดออกตามไรฟัน ช่วยบำรุงสายตา และช่วยย่อยอาหาร ลดความดันโลหิต และช่วยบรรเทาอาการป่วยของผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และโรคตับอักเสบ
อะโวคาโด
ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด รวมทั้งยังให้พลังงานสูง แต่มีระดับน้ำตาลต่ำ ดังนั้นผู้ป่วยโรคเบาหวานจึงสามารถกินได้ นอกจากนี้ยังมีโปรตีนสูงซึ่งเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย วิตามินสูง ทั้งวิตามินอี วิตามินเอ วิตามินบี และวิตามินซี และยังให้กากใยมาก จึงเป็นประโยชน์ต่อระบบขับถ่ายอย่างมากเลยทีเดียว ประโยชน์คือถ้ารับประทานสม่ำเสมอจะทไห้ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย เพราะวิตามินบีในอะโวคาโด จะทำให้ร่างกายเกิดความต้านทานในรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงการปกป้องผิวหน้าจากมลพิษด้วย
บีทรูท
เป็นหัวผักกาดที่อยู่ใต้ดินชนิดหนึ่ง ทรงกลมป้อม เปลือกดำ เนื้อสีแดงเลือดหมู หรือม่วงแดง บีทรูทนิยมใส่ในสลัด มีสารอาหารหลายชนิดคือ แคลเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม เหล็ก วิตามินเอ และวิตามินบีรวม สารเบทานินในบีทรูทเป็นกรดอะมิโนที่มีสรรพคุณยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกและมะเร็ง น้ำบีทรูทจึงมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในฐานะรักษามะเร็ง นอกจากนั้นยังช่วยทำให้เลือดลมดี และการไหลเวียนของโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ดีขึ้นอีกด้วย พบว่ามีสารไนเตรตสูง ช่วยลดความดันโลหิต และพิสูจน์แล้วช่วยให้คุณมีกำลังวังชา อดทนกับการออกกำลังกาย ทำให้เหนื่อยน้อยลงเป็นแหล่งของโฟเลตที่ดี เพียงครึ่งถ้วยก็ให้คุณค่าที่ร่างกายต้องการถึง 17 เปอร์เซ็นต์ของร่างกายต้องการประจำวันแล้ว เราสามารถนำมากินได้หลายรูปแบบทั้งต้ม นึ่ง ย่าง แต่ต้องระวังไม่ให้สีกระเด็นมาใส่ตอนทำอาหารเท่านั้นเอง
ถั่วแดง
เป็นอาหารที่มีส่วนประกอบของเส้นใยอาหารสูงมาก ดังนั้น จึงช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ป้องกันการเกิดภาวะเส้นเลือดในสมองปริแตก ช่วยให้ร่างกายขับถ่ายได้ดีจึงสามารถป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ นอกจากนั้นยังอุดมด้วยกรดโฟลิก ที่ช่วยบำรุงโลหิต ป้องกันความผิดปกติของทารกในครรภ์ ถั่วแดงนอกจากจะอร่อยแล้วยังประกอบด้วยสารแอนติออกซิแดนต์ ที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้ดีอีกด้วย ควรรับประทานให้ได้วันละ 1 ถ้วย ไม่ว่าจะเป็นแบบกระป๋องหรือแห้ง ถั่วแดงก็คือหนึ่งในอาหารตัวเลือกแอนติออกซิแดนท์อันดับแรก ๆ ของคุณ โดยองค์การเกษตรสหรัฐฯ จัดอันดับให้เป็นที่ 3 ใน 20 ของรายการแอนติออกซิแดนท์สูง ตามหลังบลูเบอร์รี แต่มีมากกว่า สตรอเบอร์รี่ ราสเบอร์รี และแอปเปิ้ล
ที่มา : นิตยสาร Slimming ฉบับเดือนเมษายน
|
|
|
|