สถิติผู้เข้าชม
 ขณะนี้มีผู้เข้าใช้ 5
 ผู้เข้าชมในวันนี้ 394
 ผู้เข้าชมทั้งหมด 5,199,176
กรุณาฝาก Email ของท่าน
  เพื่อรับข่าวสาร ที่น่าสนใจ
20 เมษายน 2567
อา จ. อ. พ. พฤ ศ. ส.
 
10  11  12  13 
14  15  16  17  18  19  20 
21  22  23  24  25  26  27 
28  29  30         
             
 
อาหาร 12 อย่าง ที่พึงบริโภคสัปดาห์ละครั้ง (จบ)
[8 เมษายน 2554 15:29 น.]จำนวนผู้เข้าชม 5209 คน


กีวี

     กีวีเต็มไปด้วยวิตามินซี ซึ่งเป็นตัวละลายสารอนุมูลอิสระขั้นต้นในร่างกาย ทำให้เกิดความเป็นกลางในอนุมูล อนุมูลอิสระจะเข้าไปทำลายย่อเล็กสุดเซลล์ร่างกาย ทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ เช่น การติดเชื้อ โรคมะเร็ง โรคไขข้ออักเสบ โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคหืด ไขมันอุดตันในเส้นเลือด แก้วหูอักเสบ เป็นต้น หากได้รับปริมาณวิตามินซีในจำนวนที่เพียงพอ จะทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายดีขึ้น ส่วนวิตามินเอในกีวีมีคุณสมบัติในการละลายไขมัน ซึ่งวิตามินเอเป็นแหล่งอาหารของเบต้าแคโรทีน เมื่อเข้าไปรวมกับไขมัน และน้ำในร่างกาย ก็จะทำให้สามารถละลายพิษจากอนุมูลอิสระต้นเหตุของการเกิดโรคดังที่กล่าวข้างต้นได้ นักวิจัยพบว่าไฟเบอร์ในอาหารโดยเฉพาะในกีวีนั้นสามารถป้องกันระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ ซึ่งจะลดปัญหาความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหัวใจล้มเหลว โดยไฟเบอร์จะเข้าไปจับพิษให้ออกไปจากลำไส้ใหญ่พร้อมกับอุจจาระ ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญในการป้องกันมะเร็งในลำไส้ใหญ่ อีกทั้งไฟเบอร์ยังเป็นตัวช่วย รักษาระดับน้ำตาลในเลือด ในกลุ่มคนที่เป็นโรคเบาหวานได้อีกด้วย กีวี 1 ผลให้วิตามินซี 55 มก. ซึ่งมากกว่าปริมาณแนะนำให้รับประจำวันถึง 22% การกินกีวีเป็นประจำจะทำให้สุขภาพของคุณดีขึ้น

บร็อกโคลี
     บร็อกโคลีนั้นเป็นผักเพื่อสุขภาพ ในกลุ่มกะหล่ำปลี และกะหล่ำดอก เพราะมีส่วนประกอบที่ใกล้เคียงกันทั้งรสชาติ และปริมาณเส้นใย รวมทั้งธาตุกำมะถัน ในทางการแพทย์นั้นมีการวิจัยมาแล้วว่าการบริโภคบร็อกโคลีเป็นประจำสามารถช่วยยับยั้งการลุกลาม แถมยังช่วยลดอัตราเสี่ยงการเป็นมะเร็งปอดได้ ทั้งนี้เพราะว่าในบร็อกโคลีนั้นนอกจากมีวิตามินซีสูงแล้ว ยังมีสารที่ชื่อว่าไอโซธิโอไซยาเนทส์ ที่มีความสามารถช่วยต่อต้านการเกิดโรคมะเร็งปอดนั่นเอง แถมนอกจากนี้แล้วบร็อกโคลียังสามารถป้องกันอัตราเสี่ยงการเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะอีกด้วย บร็อกโคลีต้มสุกครึ่งถ้วยจะได้รับวิตามินซีที่ต้องการประจำวันถึง 60 เปอร์เซ็นต์

มะเขือเทศ
     มะเขือเทศมีหลายพันธุ์ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นโรมา เชอร์รี่ มะเขือเทศลูกท้อ เป็นต้น มะเขือเทศสับ 1 ถ้วยจะทำให้เราได้รับวิตามินซีที่ต้องได้รับประจำวันถึง 76 เปอร์เซ็นต์ มะเขือเทศเต็มไปด้วยสารอาหารที่สำคัญ สารแคโรทีนอยด์ ชื่อไลโคพีน ซึ่งเป็นสารสีแดง และวิตามินหลายชนิด เช่น วิตามินบี 1 บี 2 วิตามินเค โดยเฉพาะวิตามินเอ และวิตามินซี จะมีในปริมาณสูง มีกรดมาลิก กรดซิตริก ซึ่งให้รสเปรี้ยว และมีกลูตามิค ซึ่งเป็นกรดอะมิโนช่วยเพิ่มรสชาติให้อาหาร นอกจากนี้ยังประกอบด้วยสารเบต้าแคโรทีน และแร่ธาตุหลายชนิด กินมะเขือเทศประจำจะช่วยลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งในลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมาก รักษาสิว สมานผิวหน้าให้เต่งตึง โดยใช้น้ำมะเขือเทศพอกหน้า ก็จะช่วยให้ปิวหน้าอ่อนนุ่ม ช่วยลดการแข็งตัวของผนังหลอดเลือด รักษาโรคลักปิดลักเปิด เลือดออกตามไรฟัน ช่วยบำรุงสายตา และช่วยย่อยอาหาร ลดความดันโลหิต และช่วยบรรเทาอาการป่วยของผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และโรคตับอักเสบ

อะโวคาโด
     ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด รวมทั้งยังให้พลังงานสูง แต่มีระดับน้ำตาลต่ำ ดังนั้นผู้ป่วยโรคเบาหวานจึงสามารถกินได้ นอกจากนี้ยังมีโปรตีนสูงซึ่งเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย วิตามินสูง ทั้งวิตามินอี วิตามินเอ วิตามินบี และวิตามินซี และยังให้กากใยมาก จึงเป็นประโยชน์ต่อระบบขับถ่ายอย่างมากเลยทีเดียว ประโยชน์คือถ้ารับประทานสม่ำเสมอจะทไห้ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย เพราะวิตามินบีในอะโวคาโด จะทำให้ร่างกายเกิดความต้านทานในรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงการปกป้องผิวหน้าจากมลพิษด้วย

บีทรูท
     เป็นหัวผักกาดที่อยู่ใต้ดินชนิดหนึ่ง ทรงกลมป้อม เปลือกดำ เนื้อสีแดงเลือดหมู หรือม่วงแดง บีทรูทนิยมใส่ในสลัด มีสารอาหารหลายชนิดคือ แคลเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม เหล็ก วิตามินเอ และวิตามินบีรวม สารเบทานินในบีทรูทเป็นกรดอะมิโนที่มีสรรพคุณยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกและมะเร็ง น้ำบีทรูทจึงมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในฐานะรักษามะเร็ง นอกจากนั้นยังช่วยทำให้เลือดลมดี และการไหลเวียนของโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ดีขึ้นอีกด้วย พบว่ามีสารไนเตรตสูง ช่วยลดความดันโลหิต และพิสูจน์แล้วช่วยให้คุณมีกำลังวังชา อดทนกับการออกกำลังกาย ทำให้เหนื่อยน้อยลงเป็นแหล่งของโฟเลตที่ดี เพียงครึ่งถ้วยก็ให้คุณค่าที่ร่างกายต้องการถึง 17 เปอร์เซ็นต์ของร่างกายต้องการประจำวันแล้ว เราสามารถนำมากินได้หลายรูปแบบทั้งต้ม นึ่ง ย่าง แต่ต้องระวังไม่ให้สีกระเด็นมาใส่ตอนทำอาหารเท่านั้นเอง

ถั่วแดง
     เป็นอาหารที่มีส่วนประกอบของเส้นใยอาหารสูงมาก ดังนั้น จึงช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ป้องกันการเกิดภาวะเส้นเลือดในสมองปริแตก ช่วยให้ร่างกายขับถ่ายได้ดีจึงสามารถป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ นอกจากนั้นยังอุดมด้วยกรดโฟลิก ที่ช่วยบำรุงโลหิต ป้องกันความผิดปกติของทารกในครรภ์ ถั่วแดงนอกจากจะอร่อยแล้วยังประกอบด้วยสารแอนติออกซิแดนต์ ที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้ดีอีกด้วย ควรรับประทานให้ได้วันละ 1 ถ้วย ไม่ว่าจะเป็นแบบกระป๋องหรือแห้ง ถั่วแดงก็คือหนึ่งในอาหารตัวเลือกแอนติออกซิแดนท์อันดับแรก ๆ ของคุณ โดยองค์การเกษตรสหรัฐฯ จัดอันดับให้เป็นที่ 3 ใน 20 ของรายการแอนติออกซิแดนท์สูง ตามหลังบลูเบอร์รี แต่มีมากกว่า สตรอเบอร์รี่ ราสเบอร์รี และแอปเปิ้ล

ที่มา : นิตยสาร Slimming ฉบับเดือนเมษายน
 

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]
สาระความรู้ทั่วไปสำหรับเจ้าของน้องตูบ
- อาหารแสลง ที่ควรเลี่ยงเมื่อป่วย [8 เมษายน 2554 15:29 น.]
- พืชขาดธาตุอาหารอะไร ?..ใส่ใจสักนิด... [8 เมษายน 2554 15:29 น.]
- ปวดท้อง...ลางบอกโรคร้ายของคุณ [8 เมษายน 2554 15:29 น.]
- การรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำและลดความเสี่ยง จากโรคมะเร็ง [8 เมษายน 2554 15:29 น.]
- ซอสปรุงรส [8 เมษายน 2554 15:29 น.]
- รู้จักไหม?...“ต้นผึ้ง” มีหนึ่งเดียวที่ราชบุรี [8 เมษายน 2554 15:29 น.]
- เลือดจระเข้ [8 เมษายน 2554 15:29 น.]
- การทำน้ำด่าง (อัลคาไลน์) สำหรับดื่มอย่างง่าย [8 เมษายน 2554 15:29 น.]
- กิน ‘สมอ’ ดีเสมอ [8 เมษายน 2554 15:29 น.]
- ปัสสาวะหลวงพ่อ [8 เมษายน 2554 15:29 น.]
ดูทั้งหมด

Copyright@2010 by www.nongtoob.com All right reserved.
Engine by MAKEWEBEASY