สถิติผู้เข้าชม
 ขณะนี้มีผู้เข้าใช้ 4
 ผู้เข้าชมในวันนี้ 933
 ผู้เข้าชมทั้งหมด 5,202,376
กรุณาฝาก Email ของท่าน
  เพื่อรับข่าวสาร ที่น่าสนใจ
23 เมษายน 2567
อา จ. อ. พ. พฤ ศ. ส.
 
10  11  12  13 
14  15  16  17  18  19  20 
21  22  23  24  25  26  27 
28  29  30         
             
 
อันตรายจากการกินเนื้อสัตว์ ตอนที่ 2
[16 เมษายน 2555 10:17 น.]จำนวนผู้เข้าชม 8285 คน
 อันตรายจากการกินเนื้อสัตว์ ตอนที่ 2


3.โรคจากสัตว์ มนุษย์มีความรู้เรื่องสุขอนามัย แต่ยังคงเจ็บป่วยเป็นโรคได้ สัตว์เลี้ยงต่างๆ หากินคลุกคลีอยู่กับพื้นดินกินอาหารไม่เลือกจึงมักติดเชื้อและโรคต่างๆเสมอ ในชนบทเมื่อหมู ไก่ วัว สัตว์เลี้ยงตายลงก็ยังนำไปปรุงอาหารโดยไม่อาจรู้ได้เลยว่าสัตว์นั้นตายด้วยโรคอะไร เชื้อโรคบางชนิดไม่อาจถูกทำลายด้วยความร้อน ผู้บริโภคจึงได้รับเชื้อโรคจากสัตว์ที่ป่วยนั้นเข้าไปโดยตรง

   ในโรงงานอุสาหกรรมชำแหละเนื้อสัตว์ จะพบสัตว์ที่มีเนื้องอกผิดรูปร่างอยู่เป็นจำนวนมาก เนื้อสัตว์สำเร็จรูปบางประเภททำมาจากส่วนต่างๆของสัตว์ โดยนำมาบดรวมกันแล้วผสมสีเจือกลิ่นเครื่องเทศแล้วบรรจุเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร ปรากฎว่านักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองเอาตับของสัตว์ที่เป็นโรคไปเลี้ยงปลา ปลาเหล่านั้นก็เกิดเป็นโรคเช่นกัน
   
   ชาวอเมริกาบริโภคเนื้อสัตว์มากเป็นอันดับหนึ่งของโลก พบว่าประชากร
1 คนในจำนวนทุกๆ 2 คนจะต้องเสียชีวิตลงด้วยโรคหัวใจและที่สำคัญไขมันคลอเลสเตอรอลจากสัตว์ ไม่สามารถสลายตัวในร่างกายของมนุษย์ เมื่อสะสมมากขึ้นจะจับเป็นก้อนแข็งตัวในหลอดเลือดทำให้หลอดเลือดแคบลง เป็นเหตุให้เส้นเลือดตีบ หัวใจจึงทำงานหนักในการสูบฉีดโลหิต หากมีไขมันอุดตันในเส้นเลือดเมื่อเส้นเลือดสูบฉีดแรงจะทำให้เส้นเลือดในสมองแตก และเป็นอัมพาต

 


   ในปี พ.ศ. 2504 วารสารทางการแพทย์อเมริการายงานว่า อาหารธัญญพืชทั้งหมดสามารถป้องกันโรคหัวใจได้ 90 ถึง 97% นักวิทยาศาสตร์และนักโภชนาการกล่าวว่ากากและเส้นใยของอาหารพืช ช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอลในเส้นเลือดลงได้ ด๊อกเตอร์ยูดี รีจีสเตอร์ หัวหน้าภาควิชาโภชนาการแห่งมหาวิทยาลัยโรมาลินดา ในรัฐแคลิฟอเนียร์ได้ทดลองให้ผู้ป่วยรับประทานแต่อาหารประเภทถั่วและธัญญพืชต่างๆ ปรากฏว่าระดับไขมันคลอเรสเตอรอลลดลงทั้งๆที่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ยังกินเนยในปริมาณมากอยู่ก็ตาม การบริโภคเนื้อซึ่งไขมันสูงก็มีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจสูงขึ้นด้วย
   
   นักวิจัยท่านหนึ่งได้พบว่า หากจำนวนคลอเรสเตอรอลในเนื้อสัตว์ลดลง 1 % อัตราการเป็นโรคหัวใจในประชากรจะลดลงถึง 2 % คลอเรสเตอรอลในไขมันสัตว์ไม่สามารถละลายได้ง่ายในร่างกายของมนุษย์ มันจะสะสมอยู่ตามผนังของเส้นเลือดนานๆเข้าจะทำให้ภายในเส้นเลือดเล็กแคบ เป็นเหตุให้เลือดไหลผ่านได้น้อย ภาวะอันตรายคือ เส้นโลหิตอุดตัน หรือ เส้นโลหิตเกิดแข็งตัว หัวใจต้องทำงานหนักในการสูบฉีดเลือดเป็นเหตุให้ความดันโลหิตสูง ป่วยเป็นโรคหัวใจ และหัวใจวายได้

   
   อาหารและไขมันจากพืช
บางชนิดไม่มีสารคลอเรสเตอรอลชนิดเลวอยู่เลย ปัจจุบันจึงนิยมประกอบอาหารด้วยน้ำมันพืชเท่านั้น(น้ำมันจากพืชบางชนิด เช่นน้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์) ในเนื้อสัตว์ยังมีธาตุโซเดียมสูง ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อผู้ที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสู โรคไต โรคหัวใจ โรคหมดกำลังวังชา โรคกระเพาโรคเบาหวาน

 


   ผัก ผลไม้สดๆ ซึ่งเก็บมาใหม่ๆ เป็นอาวุธที่มีอานุภาพ จะต่อสู้โรคต่างๆได้หลายชนิด การออกกำลังกายประกอบกับการหายใจ การนอนหลับพักผ่อน ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ ดื่มน้ำสะอาดและรับแสงแดดดีๆ สิ่งเหล่านี้ประกอบกันทั้งหมดจะทำให้สุขภาพดีขึ้นได้

4. การเน่าเสียเร็ว ในทันทีที่สัตว์ตายลง ร่างกายจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย สารโปรตีนในตัวสัตว์จะจับกันเป็นก้อนพร้อมกับปล่อยเอ็มไซม์ที่มีพิษออกมาทำให้เนื้อเน่าเสียอย่างรวดเร็ว ต่างไปจากพวกพืชผักซึ่งมีโครงสร้างของผนังเซลล์ ไม่สลับซับซ้อนมีความมั่นคงทำให้ขบวนการเน่าเสียเป็นไปอย่างช้ามาก หากนำเนื้อสัตว์มา 1 จานและผักสด 1 ต้น นำมาตั้งวางไว้ ภายในวันเดียวเนื้อจะเริ่มบูดเน่า แต่ผักแม้จะทิ้งเป็นเวลาหลายวันก็จะเพียงเฉาลง ผักเหล่านี้เมื่อนำไปแช่น้ำก็จะกลับฟื้นสดขึ้นดังเดิม  เนื้อสัตว์ใหญ่หากทิ้งไว้จะพบตัวพยาธิและมันจะโตขึ้นเรื่อยเมื่อเข้าไปอยู่ในร่างกายของคนพร้อมกับแพร่พันธุ์ทวีจำนวนมากขึ้นจนน่ากลัว เช่น พยาธิไส้เดือน พยาธิตัวตืด พยาธิใบไม้ พยาธิตัวจี๊ด พยาธิปากขอ ฯลฯ ส่วนผักผลไม้เราจะพบตัวหนอนที่เป็นศัตรูพืชบ้าง แต่ตัวหนอนเหล่านี้เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่ ก็จะกลายเป็นผีเสื้อ แมลงวันทองหรือแมลงอื่นๆ ไม่ใช่พยาธิอย่างในเนื้อสัตว์ เนื้อสัตว์ต้องผ่านขั้นตอนที่ยาวนานเริ่มจากสัตว์ถูกฆ่าที่โรงฆ่าสัตว์ แล้วนำไปชำแหละแยกประเภทส่วนต่างๆ นำเข้าแช่ในห้องเย็นเพื่อจัดลำเลียงส่งไปยังตลาด ตามห้างร้าน ขณะที่วางขายก็จะต้องอยู่ในตู้แช่แข็งตลอดเวลาเพื่อยืดอายุการเน่าเสียให้นานที่สุด เมื่อแม่บ้านซื้อไปแล้วใช้ไม่หมดก็ต้องเก็บเข้าตู้เย็นไว้อีก ลองนึกดูว่าเนื้อสัตว์ที่ปรุงอาหารให้เรารับประทานเข้าไปในแต่ละมื้อจะอยู่ในสภาพเช่นไร
 


   แน่นอนที่สุดทันทีหลังจากที่เรารับประทานอาหารเข้าไปแล้ว แน่นอนที่สุดทันทีหลังจากรับประทานอาหารเข้าไปแล้ว เนื้อก็จะเริ่มบูดเน่าอยู่ภายในร่างกายของเรา ร่างกายต้องใช้เวลา 3 - 5 วันเนื้อสัตว์ที่กินเข้าไปจึงจะถูกขับถ่ายออกมาได้หมด ซึ่งต่างจากกากใยของพืชที่จะถูกขับออกจากร่างกายได้ภายในเวลาครึ่งวัน ในระหว่างที่เนื้อสัตว์ตกค้างในลำไส้ เนื้อซึ่งกำลังบูดเน่าได้สัมผัสกับอวัยวะย่อยอาหารของเราอยู่ตลอดเวลา ทำให้ลำไส้ใหญ่และลำไส้เล็กทำงานผิดปกติเป็นสาเหตุให้เกิดโรคลำไส้และโรคอื่นติดตามมา นายแพทย์ท่านหนึ่งได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับอาหารเนื้อสัตว์ว่า "เป็นการดีที่จะรับประทานอาหารผักด้วยความโล่งใจ สบายใจ โดยไม่ต้องเป็นกังวลว่าอาหารนั้น รุงมาจากเนื้อสัตว์ประเภทไหน"


5.การขับถ่ายไม่สะดวก เนื้อสัตว์เป็นอาหารที่ไม่ค่อยมีกากหรือเส้นใย ทำให้เคลื่อนตัวไปตามทางเดินอาหารได้ช้ากว่าอาหารประเภทพืชผักถึง 4 เท่า อาหารเนื้อใช้เวลายาวนานมากกว่าจะถึงระบบขับถ่าย ในระหว่างการย่อยที่ยาวนาน กากอาหารจะถูดูดเอาน้ำไปมากทำให้ผู้ที่นิยมรับประทานแต่อาหารเนื้อมีอุจจาระแข็ง แห้ง ถ่ายลำบาก มักป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับระบบขับถ่ายหลายอย่างเช่น โรคท้องผูกเรื้อรัง โรคริดสีดวงทวาร เป็นต้น

    ดังกล่าวมาทั้งหมดจะเห็นว่าเนื้อสัตว์เป็นบ่อเกิดของโรคในทุกระบบของร่างกาย เริ่มตั้งแต่ระบบย่อยอาหาร ระบบทางเดินอาหารรวมไปถึงระบบขับถ่าย ล้วนมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆมากมาย เมื่อกินเนื้อทุกๆวัน ก็เสี่ยงต่อการเจ็บป่วยได้ทุกๆวัน อาหารพืชผักผลไม้มีกากและเส้นใยมาก เมื่อรับประทานเป็นประจำก็จะช่วยป้องกัน และยับยั้งโรคริดสีดวง โรคมะเร็งลำไส้ โรคไส้ติ่ง โรคอ้วน โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ไม่ให้เกิดขึ้น จากการสำรวจเราจะไม่เจอโรคเหล่านี้ในประชากรที่รับประทานอาหารที่มีกากใยกันมากๆเลย ในปัจจุบันนี้ชาวตะวันตกทั้งหลาย หันมารับประทานอาหารพืชผักผลไม้กันมาก ก็เพราะเหตุผลของสุขภาพอนามัยร่างกายมากกว่าเรื่องศีลธรรมความเชื่อและจิตใจ
 


    ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์แพทย์พบวิธีรักษาที่เป็นธรรมชาติที่สุดในการรักษาโรคทั้งหลายคือ เลิกกินเนื้อสัตว์โดยเด็ดขาด ท่านเคยคิดบ้างไหมว่า การรักษาเมื่อเจ็บป่วยแล้วเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ เป็นการสูญเสียเงินทองที่หามาด้วยความยากลำบากไปอย่างน่าเสียดาย ไม่ว่าใครก็อยากมีสุขภาพแข็งแรง อายุยืน เพราะสิ่งเหล่านี้เงินทองซื้อไม่ได้ คนเราทุกคนสร้างบ้านเรือนของเราด้วยไม้ ด้วยวัสดุอย่างดี ก็เพื่อให้มีความคงทนแข็งแรง จะได้อาศัยอยู่อย่างมีความสุข

   ฉะนั้นเราก็ควรสร้างร่างกายของเราด้วยอาหารที่เป็นธรรมชาติอันแท้จริงของมนุษย์ เพื่อให้ช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้ ได้มีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขเช่นเดียวกัน...

     การกินเนื้อแดงมากๆ เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ที่ทำให้สุกจนเกรียม เพราะมีสาร polycyclic aromatic hydro corbon ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งสูง ผู้ที่ชอบรับประทานสเต๊กควรทราบไว้ว่า   

เนื้อสัตว์ที่ทำสเต๊กแบบสุกพอดี (medium) และสุกมาก (well done) จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารมากกว่ากินเนื้อสัตว์ (สเต๊ก) ที่เป็นแบบสุกๆ ดิบๆ (rare) หรือค่อนข้างสุกดิบ (medium rare) ถึง 3 เท่า

 การกินเนื้ออบ (roasted) โดยอบให้สุกช้าๆ ด้วยความร้อนต่ำๆ จะเกิดสารก่อมะเร็งน้อยกว่าการย่างหรือทอดให้สุกเร็วๆ ที่เป็นเช่นนี้เพราะเมื่อเนื้อถูกความร้อนสูง สารโปรตีน creatine จะสร้างสารก่อมะเร็งขึ้น คือ heterocyclic amine
 

    ดังนั้นการกินเนื้ออบโดยอบให้สุกช้าๆ ด้วยความร้อนต่ำๆ แทนเนื้อย่างหรือทอดจะปลอดภัยจากมะเร็งมากว่า

    จากการวิจัยพบว่า หญิงสูงอายุที่กินเนื้อแดงมากๆ มีโอกาสป่วยเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองสูง แต่ถ้ากินผลไม้มากๆ จะช่วยป้องกันโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือได้ ความจริงแล้วผลไม้เกือบทุกชนิดเป็น antioxidants ช่วยต้านโรคมะเร็ง และโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ เพราะผลไม้มีวิตามิน ซี วิตามิน อี และเบต้าแคโรทีน
 

    ในจำพวกผลไม้ต่างๆ สตรอเบอร์รี่เป็น antioxidant ที่ดีที่สุด รองลงมาเล็กน้อยก็คือ ส้ม องุ่นแดง และพลัม (มีน้อยในเมืองไทย) ลูกเกด หรือองุ่นแห้ง มีสารกลุ่มฟิโนลอยด์ เช่นกรดทาร์ทาริค (tartaric acid) ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ ป้องกันไม่ให้ผนังเซลล์เป็นแผลเสียหาย อันเป็นเหุสำคัญอันหนึ่งของโรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคมะเร็ง การกินลูกเกดยังช่วยลดกรดในลำไส้อีกด้วย อาหารต้านมะเร็งนอกจากมีในผลไม้แล้วในผักก็มี เช่น บล็อคโคลี่ มีสารชื่อ ซัลฟอราเฟน มีสรรพคุณยับยั้งการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง ในบล็อคโคลี่อ่อนมีสารซัลฟอราเฟนมากเป็น 20-50 เท่าของบล็อคโคลี่ที่โตเต็มที่ การกินผักและผลไม้สด จะได้ประโยชน์สูงสุด ผลไม้กินสดๆ เมื่อมันสุกหรือแก่ได้ที่ดีแล้ว ถ้าเปลือกผลไม้รับประทานได้ เช่น แอปเปิ้ล ก็ล้างให้สะอาดและกินทั้งเหลือก เพราะวิตามินที่มีคุณค่าอยู่บริเวณเปลือก

   อาหารไทยที่ช่วยป้องกันมะเร็งก็มี เช่น ตะไคร้ พบว่าตะไคร้สามารถยับยั้งอาการเริ่มแรกที่จะนำไปสู่มะเร็งลำไส้ คือ หลุมในลำไส้ และการผิดเพี้ยนของดีเอ็นเอ หลุมลำไส้คือเซลล์ผิดปกติและจะพัฒนาไปเป็นเซลล์มะเร็ง ส่วนการผิดเพี้ยนของดีเอ็นเอนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อมีสารก่อมะเร็งไปขัดขวางดีเอ็นเอของร่างกายไม่ให้ผลิตซ้ำตัวเอง ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของการเกิดเซลล์มะเร็ง ตะไคร้ มีผลยับยั้งการทำงานของแบคทีเรียในลำไส้ ทำให้ร่างกายดูดซึมสารก่อมะเร็งน้อยลงไป
 

   เวลากินแกงต้มยำ ควรพยายามกินตะไคร้ในแกงด้วย ความจริงอาหารไทยก็ได้พยายามใส่เครื่องปรุงที่เป็นตะไคร้ไว้หลายอย่าง ไม่ใช่เฉพาะในแกงต้มยำเท่านั้น แม้แต่กับแกล้มเหล้าก็มีตะไคร้เป็นหลัก ที่เราเรียกกันว่า “ไก่สามอย่าง” ในยำต่างๆ ก็มีตะไครหั่นฝอย ดังนั้นเวลาทำอาหารไทยอย่าไปขี้เหนียวตะไคร้ มีโอกาสใส่ก็ใส่ลงไปเลย ใส่แล้วก็ต้องกินด้วยไม่ใช่ใส่เพื่อไปเขี่ยทิ้ง คุณจะสูญเสียอาหารป้องกันมะเร็งไป

   นอกจากตะไคร้ อาหารไทยยังมีกระเทียมสด ซึ่งสามารถต้านทานสารก่อมะเร็งได้ เมื่อเราแกะเปลือกกระเทียมออกจกะมีเอนไซม์ชื่อ อัลลิเนส หลั่งออกมา แล้วก็สร้างปฏิกิริยาทางเคมีที่ก่อให้เกิดสารต้านมะเร็ง แต่ถ้าปอกกระเทียมแล้วเอาไปผ่านความร้อนทันที เอนไซม์อัลลิเนสจะหยุดทำหน้าที่ของมันต้องปอกกระเทียมแล้วรไว้ประมาณ 15 นาที ก่อนจึงนำไปปรุงอาหาร สรรพคุณในการต้านมะเร็งจึงจะยังคงอยู่ ถ้าปอกกระเทียมแล้วนำไปถูกความร้อนทันทีสรรพคุณดังกล่าวจะไม่มีเพราะเอนไซม์อัลลิเนสหยุดทำงาน ฉะนั้น ถ้าจให้ได้ประโยชน์จากกระเทียมอย่าใจร้อน ถ้าไม่กินกระเทียมสด ซึ่งมีสรรพคุณป้องกันมะเร็ง ก็ต้องปอกกระเทียมทิ้งไว้ 15 นาที ก่อนนำไปปรุงอาหาร แม่ครัวหัวป่าทั้งหลายควรใช้กระเทียมให้ถูกวิธี ให้ได้ทั้งความอร่อยและ ประโยชน์ในการต้านมะเร็ง

   อาหารใดที่มีวิตามินซีสูงก็จะมีประโยชน์มาก เพราะวิตามินซี รักษาตั้งแต่หวัดไปจนถึงป้องกันมะเร็ง ร่างกายเราสามารถดูดซึมวิตาในซี ไปใช้ได้แค่วันละประมาณ 200 มิลลิกรัมเท่านั้น ซึ่งปริมาณนี้มีครบอยู่แล้วในผักและผลไม้ที่เราบริโภคในแต่ละวัน ถ้าเรากินผักและผลไม้สดประจำทุกวัน ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเงินซื้อวิตามิน ซี มารับประทานต่างหากให้สิ้นเปลืองเงินโดยใช่เหตุ...

 




ที่มาของภาพและบทความ:

 
 

 

 

 

Internet

http://www.96rangjai.com

http://khusaifah-khusaifah.blogspot.com

http://news.banphan.com

Woman’s Story

 


[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]
สาระความรู้ทั่วไปสำหรับเจ้าของน้องตูบ
- อาหารแสลง ที่ควรเลี่ยงเมื่อป่วย [16 เมษายน 2555 10:17 น.]
- พืชขาดธาตุอาหารอะไร ?..ใส่ใจสักนิด... [16 เมษายน 2555 10:17 น.]
- ปวดท้อง...ลางบอกโรคร้ายของคุณ [16 เมษายน 2555 10:17 น.]
- การรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำและลดความเสี่ยง จากโรคมะเร็ง [16 เมษายน 2555 10:17 น.]
- ซอสปรุงรส [16 เมษายน 2555 10:17 น.]
- รู้จักไหม?...“ต้นผึ้ง” มีหนึ่งเดียวที่ราชบุรี [16 เมษายน 2555 10:17 น.]
- เลือดจระเข้ [16 เมษายน 2555 10:17 น.]
- การทำน้ำด่าง (อัลคาไลน์) สำหรับดื่มอย่างง่าย [16 เมษายน 2555 10:17 น.]
- กิน ‘สมอ’ ดีเสมอ [16 เมษายน 2555 10:17 น.]
- ปัสสาวะหลวงพ่อ [16 เมษายน 2555 10:17 น.]
ดูทั้งหมด

Copyright@2010 by www.nongtoob.com All right reserved.
Engine by MAKEWEBEASY