สถิติผู้เข้าชม
 ขณะนี้มีผู้เข้าใช้ 17
 ผู้เข้าชมในวันนี้ 603
 ผู้เข้าชมทั้งหมด 5,203,297
กรุณาฝาก Email ของท่าน
  เพื่อรับข่าวสาร ที่น่าสนใจ
24 เมษายน 2567
อา จ. อ. พ. พฤ ศ. ส.
 
10  11  12  13 
14  15  16  17  18  19  20 
21  22  23  24  25  26  27 
28  29  30         
             
 
สามัคคีกันไว้เถิด
[23 ธันวาคม 2553 09:01 น.]จำนวนผู้เข้าชม 5993 คน

     การสร้าง "ความสามัคคี" ให้เกิดขึ้นนั้น จะต้องเริ่มจากตัวเองเป็นสำคัญ ทุกคนสามารถทำได้ เมื่อมีความจริงใจ มีความรักที่บริสุทธิ์มุ่งให้สังคม ตลอดจนชาติบ้านเมืองเดินหน้าต่อไปในทิศทางที่ดี สงบสุข ก็ควรจะหันหน้าเข้าหากัน
     สร้างความปรองดอง "ผนึก" ทั้งกำลังเพื่อนำพาชาติบ้านเมืองไปสู่สังคมแห่งสันติต่อไป แต่หากทุกคนคิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองแน่ ข้าเป็นนัมเบอร์วันอยู่คนเดียว ในไม่ช้าตัวเองก็จะพบกับหายนะ มิหนำซ้ำชาติบ้านเมืองก็จะพังพินาศไปด้วย
     มีเรื่องเล่าว่า แต่ก่อนนั้นนิ้วมือทั้ง 5 ต่างมีความปรองดองรักและสามัคคีกันมาก (แต่ไม่ได้ติดเป็นแผ่นเดียวกันเหมือนนิ้วกบนะ) ครั้นอยู่มาช่วงหนึ่งนิ้วมือทั้ง 5 นั้น เกิดผิดใจกัน แตกแยกความสามัคคี เพราะต่างอวดคุณสมบัติของกันและกัน เป็นประเภทยกตนข่มท่าน ประณามกันและกัน "กระเหี้ยนหระหือรือ" เพื่อที่ตัวเองจะได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำ เป็นหัวหน้าแต่เพียงผู้เดียว
     ในที่สุดนิ้วมือทั้ง 5 จึงออกหาเสียงปราศรัยเพื่อเรียกคะแนนนิยมให้แก่ตนเอง โดยยกคุณสมบัติต่าง ๆ ของตนมาอวดขอคะแนน...
    
    
ลำดับที่ 1 เป็นหน้าที่ของ "นิ้วโป้ง" ซึ่งได้พาร่างอันอ้วนเตี้ยม่อต้อเดินขึ้นเวทีไป พร้อมกับกล่าวปราศรัยขึ้นว่าข้าพเจ้ามีชื่อจริงว่า "นิ้วโป้ง" เป็นพี่ใหญ่ พี่เบิ้ม กว่าบรรดานิ้วทั้งหลาย และในบรรดาผู้ลงสมัครเป็นผู้นำในครั้งนี้ ตำแหน่งเห็นควรจะเป็นของข้าพเจ้า ด้วยเหตุผลเพราะ
     ประการหนึ่ง ข้าพเจ้าเป็นพี่ใหญ่ ตั้งอยู่เหนือนิ้วทั้งปวง และประการสำคัญ ขึ้นชื่อว่านิ้วโป้วแล้วย่อมมีคุณสมบัติพิเศษที่เด่นชัดถึง 2 ประการ คือ หากชูขึ้นข้างบน ย่อมหมายถึง การแสดงความยินดี ชื่นชมต่อความสำเร็จของผู้นั้น ถือเป็นการแสดงออกถึงกำลังใจที่สุดวิเศษ
     แต่หากนิ้วโป้งนี้คว่ำลงเบื้องล่าง ย่อมมีความหมายถึงการกระทำที่แย่ ไม่ดี หรือหากเลวร้ายไปกว่านั้นก็คือ มีนัยบอกเหตุว่า บุคคลผู้นั้นจะต้องมีอันเป็นไป เป็นต้น
     การปราศรัยของนิ้วโป้งจบลง พร้อมกับสร้างความประทับใจให้กับผู้ฟังไม่น้อย จากนั้นนิ้วโป้งจึงได้พาร่างอันอ้วนเตี้ยม่อต้อเดินลงจากเวทีไป...

     ถัดมาเป็น "นิ้วชี้" ซึ่งได้เดินขึ้นเวทีอย่าง "องอาจ" และเข้มแข็ง เสมือนชายชาติทหาร บุคลิกแฝงไปด้วยความเข้ม นิ่ง ลึก มองดูสมาร์ทเหลือหลาย เป็นที่ต้องตาต้องใจของหญิงสาวหลายคน หญิงสาวคนหนึ่งซึ่งยื่นอยู่ข้างเวทีปราศรัยเมื่อเห็นหุ่นและบุคลิกนั้นถึงกับ "กรี๊ดสลบ"
     นิ้วชี้เมื่อเดินขึ้นเวทีไป ได้หยุดอยู่ตรงกลางเวที จากนั้นจึงโค้งคำนับผู้ฟัง พร้อมกับกล่าวปราศรัยอย่างองอาจ และแฝงไปด้วยอำนาจว่า
     ข้าพเจ้ามีชื่อจริงว่า นิ้วชี้ ชัยชนะในครั้งนี้สมควรเป็นของข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าเป็นผู้ที่มีอำนาจกว่านิ้วทั้งหลาย นอกจากจะทำหน้าที่คอยสั่งซึ่งบ่งบอกถึงภาวะความเป็นผู้นำแล้ว
     นิ้วชี้ยังเป็นนิ้วสารพัดประโยชน์ในกิจอย่างอื่น เช่น แคะหู แคะจมูก หรือแคะฟัน เป็นต้น เมื่อท่านทั้งหลายเห็นประโยชน์และภาวะความเป็นผู้นำของข้พเจ้าแล้ว ก็จงนึกถึงหลักแห่งความเป็นจริง ไม่ควรใจอ่อนเทคะแนนให้กับนิ้วอื่น โปรดไว้วางใจข้าพเจ้าในการเป็นผู้นำในครั้งนี้ ขอบคุณครับ...
     กล่าวจบนิ้วชี้ก็เดินลงจากเวทีไปด้วยความสง่า และก่อนที่เขาจะเหยียบบันไดขั้นสุดท้าย หญิงสาวอีกหนึ่งคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็ "กรี๊ดสลบ" ไปอีกราย สร้างความโกลาหลแก่เวทีปราศรัยไม่น้อย...

     และเมื่อห้วงเวลาแห่งความโกลาหลนั้นผ่านไป ชายร่างใหญ่ สูง ยาว ดูท่าทางสงบ เยือกเย็น มองดูแล้วคล้ายจะไม่เป็นมิตรกับผู้ชายแท้ 100 เปอร์เซ็นต์สักเท่าใดนัก แต่เป็นที่ถูกใจของบรรดาสาว ๆ และ "ชายเทียม" เขาได้ก้าวขึ้นไปยืนบนเวทีพร้อมกับกล่าวปราศรัยว่า
     ข้าพเจ้ามีชื่อจริงว่า "นิ้วกลาง" และเหตุที่ลงสมัครในครั้งนี้ เพราะมองเห็นว่าตัวเองนั้น ยังมีประโยชน์อยู่บ้าง เรียกได้ว่าไม่ได้ย่อหย่อนไปกว่าพี่เบิ้ม และนิ้วชี้ที่ได้กล่าวไปแล้ว แต่ก่อนอื่นต้องขอทำความเข้าใจกับท่านทั้งหลายก่อนว่า ถึงแม้ข้าพเจ้าจะไม่ใช่พี่ใหญ่ พี่เบิ้ม และไม่องอาจห้าวหาญเหมือนนิ้วชี้ แต่ข้าพเจ้าก็มีดีอยู่ในตัวไม่น้อย
     โดยข้าพเจ้านั้นเป็นคนรักสงบ สันติ ไม่วู่วาม ซึ่งถือว่าเป็นภาวะของความเป็นผู้นำที่แท้จริง แต่ก็อย่างว่าละครับ ใครหน้าไหนก็ตามอย่าทำให้ข้าพเจ้าโกรธ เพราะหากเมื่อใดที่ข้าพเจ้าโกรธและ "ชูขึ้น" พร้อมมองหน้าก็จะต้องมีเรื่องทุกครั้งไป เรียกได้ว่าจะต้องแตกหักกันไปข้างหนึ่ง... จริงไหมครับท่านคณะกรรมการ (นิ้วกลางหันไปถาม)
     ท่านที่เคารพครับ ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่ว่าผมชอบหาเรื่องนะครับ แย่งที่บอกผมเป็นคนรักสงบ ไม่เคยหาเรื่องใคร แต่ใครอย่ามาทำผมก่อนก็แล้วกัน...ขอบคุณครับ
     พูดจบนิ้วกลางก็พาร่างอันสูงใหญ่เดินลงจากเวทีไป แต่ดูเหมือนว่าการขึ้นปราศรัยของเขาในครั้งนี้ จะสร้างความไม่พอใจให้ใครต่อใครหลายคน โดยเฉพาะคณะกรรมการ...

     ผ่านไปแล้ว 3 แบบ 3 สไตล์ สำหรับการขึ้นปราศรัยหาเสียงเพื่อสรรหาผู้นำ ลำดับต่อไปทางคณะกรรมการได้แนะนำผู้ลงสมัครหมายเลข 4 ซึ่งเธอเป็นสุภาพสตรี มองดูลักษณะแล้วเธอเป็นผู้หญิงที่สวยงามมาก สดใส จมูกโด่งดั่งงวงช้าง ตากลมเหมือนนกฮูก แก้มยุ้ยเหมือนกระต่าย ปากดั่งนกกระจิบ เรียกได้ว่าสวยหยาดเยิ้มหยดย้อย (เหมือน) หย่อมหญ้ายามเย็นเลยก็ว่าได้...
     เมื่อเธอก้าวขึ้นบนเวที ชายหลายคนถึงกับตาค้าง "ตะลึง" เพราะภาพแห่งความงามนั้น เธอเดินไปหยุดอยู่กลางเวทีพร้อมกับ "ถอนสายบัว" แสดงความเคารพต่อคณะกรรมการและผู้ฟัง จากนั้นจึงกล่าวขึ้นด้วยวาจาอ่อนหวาน อ้อนคะแนนจากผู้ฟังทั้งหลายว่า
     ดิฉันมีชื่อว่า "นิ้วนาง" ค่ะ หรือจะเรียกว่า น้องนาง ก็ได้นะคะ และเพื่อความเป็นกันเองดิฉันขอใช้สรรพนามแทนตัวว่าน้องนางค่ะ ถึงแม้ว่าน้องนางจะไม่ใช่ผู้ชายอก 2 ศอกครึ่ง เหมือน 3 ท่านที่ผ่านไป แต่น้องนางก็มั่นใจว่าลูกผู้หญิงก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ชาย สามารถทำอะไรหลาย ๆ อย่างได้ และสามารถเป็น "ผู้นำ" ได้เช่นกันค่ะ
     คุณสมบัติของน้องนางนะคะ น้องนางเป็น "สัญลักษณ์" แห่งความรัก เป็นตัวแทนของหัวใจ เพราะเมื่อคู่รักใดมีใจตรงกันย่อมมอบ "แหวน" เป็นตัวแทนต่อกันและกัน ความรักช่วยจรรโลงโลกนี้ให้ดูสดใส เป็นสีชมดู ความรักสร้างสังคมให้น่าอยู่ ความรักทไห้หัวใจพองโต พร้อมสร้างแรงบันดาลใจ และอีกหลายสิ่งหลายอย่าง...
     เห็นไหมล่ะคะท่านผู้ฟังทั้งหลาย น้องนางเป็นได้หลายอย่าง และสมควรเป็นผู้ชนะในการลงสมัครในครั้งนี้ ขอฝากน้องนางในอ้อมอกอ้อมใจท่านทั้งหลายด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
     เมื่อกล่าวจบ นิ้วนางก็ถอนสายบัวต่อผู้ฟัง และคณะกรรมการอีกครั้ง จากนั้นจึงพาร่างอ่อนระหงส์เดินลงจากเวทีไป สร้างความประทับใจให้กับทุกคนไม่น้อย โดยเฉพาะคณะกรรมการ ซึ่งในครั้งนี้บรรยากาศผิดแปลกจากเมื่อครั้ง "นิ้วกลาง" ชายร่างสูงใหญ่ เรียกได้ว่าจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเลยทีเดียว...

     ลำดับสุดท้าย...ท้ายสุด เป็นสุภาพสตรี รูปร่างค่อนข้างบาง เล็ก และในขณะที่เธอกำลังเดินขึ้นไปบนเวทีนั้น ก็ทำให้ทุกคนใจหายใจคว่ำไปตาม ๆ กัน เพราะเธอเดินโซเซทำท่าจะล้มหลายครั้ง เนื่องจากต้องรอนาน และเพราะแรงของพัดลมตั้งโต๊ะตัวใหญ่ที่มากระทบ เมื่อสวัสดีท่านผู้ฟังและคณะกรรมการแล้ว เธอจึงได้กล่าวปราศรัยว่า
     ดิฉันมีชื่อว่า "นิ้วก้อย" และเพื่อความเป็นกันเอง ก็ขอเรียกสรรพนามแทนตัวว่า น้องก้อย ก็แล้วกันนะคะ ท่านผู้ฟังที่เคสรพ น้องก้อยเชื่อว่าการเป็นผู้นำนั้น รูปร่างหน้าตา หรือว่าสัดส่วนไม่ใช่ปัญหาสำคัญอะไร ถึงแม้ว่าน้องก้อยจะตัวเล็ก รูปร่างบอบบางไม่อ้วนเตี้ยเหมือนพี่เบิ้ม ไม่สมาร์ทเหมือนพี่นิ้วชี้ ไม่สูงใหญ่เหมือนพี่นิ้วกลาง ไม่สวยหุ่นดีเหมือนพี่นาง แต่น้องก้อยก็มีคุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่งซึ่งถือเป็น "จุดเด่น" น่ะค่ะ
     นั่นก็คือ การทำให้คนที่เกลียดกัน ไม่เข้าใจกัน หรือง้องอนกัน กลับมารักกัน ดีกันเหมือนเดิม ด้วยการ "เกี่ยวก้อย" ประสานความร้าวฉาน เปลี่ยนให้เป็นมิตรภาพที่ดี และยั่งยืนตลอดไป และด้วยคุณสมบัติที่มหัศจรรย์เช่นนี้ น้องก้อยคิดว่าตัวเองเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นผู้นำในครั้งนี้ค่ะ...
     เมื่อกล่าวจบ นิ้วก้อยก็ได้พาร่างอันเล็ก และบอบบางเดินลงจากเวทีไป แต่ก่อนที่เธอจะเดินไปจากตรงนั้น เธอได้ขอร้องให้คณะกรรมการช่วยปิดพัดลมเสียก่อน โดยเธอได้ให้เหตุผลไว้ว่า "เพื่อความปลอดภัยของตัวเธอเอง..."

     การปราศรัยบนเวทีเพื่อหวังเป็นผู้นำจบสิ้นลง แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันข้างเวทีก็เกิดขึ้น เพราะเมื่อทั้ง 5 ต่างไม่ยอมซึ่งกันและกัน จึงเกิดความโลลาหลขึ้น โดยเหตุการณ์ในครั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สืบเนื่องมาจาก "นิ้วกลาง" ได้ไปมองหน้าพี่เบิ้มและนิ้วชี้...
     ฉะนั้น จึงเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตขึ้นมา ส่วนน้องนางและน้องก้อยจะเข้าไปห้ามอีท่าไหนไม่รู้ เมื่อโดนลูกหลงจึงเกิดมีโมโหเกิดการชุลมุนขึ้น และเมื่อต่างคนต่างไม่ยอม ในขณะที่ทั้งหมดกำลัง "นัวเนีย" ล้มลุกคลุกฝุ่นกันอยู่นั้น ก็มีสิ่งประหลาดกลม ๆ หนักหน่วง พุ่งมาที่ใบหน้าเจ้าของนิ้วทั้ง 5 อย่างแรง เป็นเหตุให้ถึงกับหน้าหงายล้มลงทันที
     พี่เบิ้ม หรือนิ้วโป้ง จะเข้าไปเอาเอาคืน จึงพาร่างอันอ้วนเตี้ยม่อต้อเข้าไปหา แต่ก็โดนสิ่งประหลาดนั้นซัดเข้าอีกหนึ่งหมัด ถึงกับหน้าคว่ำเลยทีเดียว
     นิ้วชี้ จะเข้าไปเอาคืนเช่นกัน แต่ก็โดนสิ่งประหลาดนั้นซัดเข้าอีกหมัด ถึงกับหน้าคว่ำตามกันไป
     นิ้วกลาง ลุกขึ้นได้ จะเข้าไปเอาคืนเช่นกัน แต่ก็โดนสิ่งประหลาดนั้นซัดเข้าอีกหมัด ถึงกับหน้าคว่ำไปอีกราย
     น้องนาง ในวินาทีนี้ เธอได้สลัดภาพความสวย วิ่งเข้าไปหวังแกแค้น แต่ก็โดนสิ่งประหลาดนั้นซัดเข้าอีกหมัด ถึงกับหน้าหงายไปเช่นกัน
     น้องก้อย โกรธมากที่ถูกวัตถุประหลาดนั้นกระแทกที่ใบหน้าของตน จึงหอบสังขารพาร่างอันบอบบางวิ่งเข้าไปหวังเอาคืน แต่ก่อนจะถึงตัวสิ่งประหลาดนั้น เธอก็สะดุดขาตัวเอง ล้มหน้าทิ่มไปอีกคน...
    
     ทั้ง 5 มองหน้ากัน และเริ่มรู้แล้วว่า สาเหตุที่ไม่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้เพราะต่างคนต่างคิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองแน่ ต่างมีทิฐิ และขาดความ "สามัคคี"
     วินาทีนั้น ทั้ง 5 จึงรวมใจเป็นหนึ่ง ประสานความสามัคคีมีความรัก ปรองดอง กลมเกลียวกัน ทั้ง 5 นิ้ว จึงประสานรวมกันกลายเป็น "กำปั้น" อันใหญ่ จากนั้นจึงพุ่งตรงไปที่ใบหน้าของสิ่งประหลาดนั้น เป็นเหตุให้คู่ต่อสู้ล้มหงายหลับกลางอากาศทันที...
     จากเรื่องที่แสดงมา จะเห็นว่า ไม่ว่าที่ใด ชาติใด หรือสังคมใด หากขาดความสามัคคีแล้ว ย่อมจะต้องเดือดร้อน จะทำอะไรก็จะไม่ประสบความสำเร็จ เพราะหลายสิ่งหลายอย่างต้องอาศัยความสามัคคีจากกลุ่มชน จากหมู่เหล่าเป็นที่ตั้ง
     เพราะความสามัคคีนี้ หากสังคมใด กลุ่มใด ชาติใด นำไปประพฤติปฏิบัติอย่างเข้มงวด จะทำให้ประสบความสำเร็จ มั่นคงเป็นปึกแผ่น เปรียบดงไม้ไผ่ที่มัดรวมกัน ซึ่งยากต่อการทำให้หักได้ในครั้งเดียว...
     กล่าวกันว่า ในครั้งพุทธกาล ชาวเมืองวัชชี ได้นำเอาหลักธรรมว่าด้วยความสามัคคีนี้ไปปฏิบัติ ถึงแม้จะเป็นเพียงแคว้นเล็ก ๆ แต่ก็ทำให้บ้านเมืองมีความเข้มแข็งมากทั้งในด้านการทหาร ความมั่งคั่งในด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม จนมีอานุภาพเป็นที่เกรงขามของแคว้นใหญ่น้อยทั้งหลาย
     สามัคคีธรรม หรือ คุณธรรม ที่ชาวเมืองวัชชีประพฤติปฏิบัติมีอยู่ 7 ข้อ มีชื่อเรียกเป็นทางการว่า "อปริหานิยธรรม" ประกอบไปด้วย
          1.  หมั่นประชุมกันเนืองนิจ
          2.  พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม พร้อมเพรียงกันกระทำกิจที่พึงกระทำ (พร้อมเพรียงกันลุกขึ้นเพื่อปกป้องบ้านเมือง พร้อมเพรียงกันทำกิจกรรมทั้งหลาย)
          3.  ไม่บัญญัติสิ่งที่ไม่ได้บัญญัติไว้ ด้วยเห็นว่าขัดต่อหลักการเดิม และไม่ล้มล้างสิ่งที่บัญญัติไว้ที่เห็นว่าดี เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม
          4.  ไม่ฉุดคร่าขืนใจ หรือทำอนาจารต่อสตรีทั้งหลาย มีบทบัญญัติคุ้มครองที่ดี
          5.  เคารพผู้อาวุโส และเชื่อฟังถ้อยคำที่เห็นว่าเป็นสิ่งที่ควรรับฟัง
          6.  เคารพสักการบูชาสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ปล่อยให้สถานที่เหล่านั้นเสื่อมลง
          7.  ให้ความอารักขาคุ้มครอง ป้องกันบรรพชิตทั้งหลายทั้งตั้งใจว่า บรรพชิตทั้งหลายที่ยังไม่ได้มา หรือที่มาแล้วจงอยู่โดยผาสุก
     ครั้งสมัยที่ชาววัชชีตั้งใจประพฤติหลักสามัคคีธรรมนั้น พระพุทธองค์ถึงกับตรัสยกย่องว่า "บุคคลใดไม่เคยเห็นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จงมาดูชาวแคว้นวัชชีนี้เถิด..."
     ถึงแม้ พระเจ้าอชาตศัตรู ผู้ครองแคว้นมคธ ซึ่งเป็นแคว้นใหญ่และมีพลานุภาพมาก จะยกพลมาปราบหลายครั้ง แต่พระองค์ก็ไม่สามารถตีเอาชัยได้ ต่อเมื่อชาวเมืองวัชชีละเลยต่อ "สามัคคีธรรม" นี้ พระเจ้าอชาตศัตรูจึงสามารถกำชัยได้ในที่สุด ชาววัชชีที่บ้านแตกสาแหรกขาดก็เพราะขาดความสามัคคี...

ที่มา : จากหนังสือ "ธรรมะน่ารัก" โดย ศรวัฒน์  ปริยัติเมธี

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]

[ +zoom ]
สาระความรู้ทั่วไปสำหรับเจ้าของน้องตูบ
- อาหารแสลง ที่ควรเลี่ยงเมื่อป่วย [23 ธันวาคม 2553 09:01 น.]
- พืชขาดธาตุอาหารอะไร ?..ใส่ใจสักนิด... [23 ธันวาคม 2553 09:01 น.]
- ปวดท้อง...ลางบอกโรคร้ายของคุณ [23 ธันวาคม 2553 09:01 น.]
- การรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำและลดความเสี่ยง จากโรคมะเร็ง [23 ธันวาคม 2553 09:01 น.]
- ซอสปรุงรส [23 ธันวาคม 2553 09:01 น.]
- รู้จักไหม?...“ต้นผึ้ง” มีหนึ่งเดียวที่ราชบุรี [23 ธันวาคม 2553 09:01 น.]
- เลือดจระเข้ [23 ธันวาคม 2553 09:01 น.]
- การทำน้ำด่าง (อัลคาไลน์) สำหรับดื่มอย่างง่าย [23 ธันวาคม 2553 09:01 น.]
- กิน ‘สมอ’ ดีเสมอ [23 ธันวาคม 2553 09:01 น.]
- ปัสสาวะหลวงพ่อ [23 ธันวาคม 2553 09:01 น.]
ดูทั้งหมด

  แสดงความคิดเห็น

ตัวหนา ตัวเอียง ตัวขีดเส้นใต้ ตัวขีดกลาง ชิดซ้าย กึ่งกลาง ชิดขวา รูปภาพ ลิ้งก์ ขนาดต้วอักษร สีต้วอักษร

ชื่อ: *
E-mail : *
ไม่ต้องการแสดง Email
รหัสตรวจสอบ : Security Image
* กรุณากรอกรหัสที่อยู่ในรูป

Copyright@2010 by www.nongtoob.com All right reserved.
Engine by MAKEWEBEASY