สถิติผู้เข้าชม
 ขณะนี้มีผู้เข้าใช้ 4
 ผู้เข้าชมในวันนี้ 472
 ผู้เข้าชมทั้งหมด 5,196,932
กรุณาฝาก Email ของท่าน
  เพื่อรับข่าวสาร ที่น่าสนใจ
18 เมษายน 2567
อา จ. อ. พ. พฤ ศ. ส.
 
10  11  12  13 
14  15  16  17  18  19  20 
21  22  23  24  25  26  27 
28  29  30         
             
 
กรณีศึกษา มะเร็งปอดระยะสุดท้ายหายไปหลังล้างพิษตับ 2 ครั้ง!
[8 กันยายน 2555 11:30 น.]จำนวนผู้เข้าชม 5669 คน
กรณีศึกษา มะเร็งปอดระยะสุดท้ายหายไปหลังล้างพิษตับ 2 ครั้ง !?


ณ บ้านพระอาทิตย์
       โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
       
        "ลางเนื้อชอบลางยา" มีคนจำนวนไม่น้อยสามารถหายป่วยจากโรคร้ายได้ เพราะแพทย์แผนปัจจุบัน หลายคนก็สามารถหายป่วยจากโรคร้ายด้วยแพทย์ทางเลือก หรือธรรมชาติบำบัด พลตรีจำลอง ศรีเมือง จึงย้ำเสมอว่าไม่มีแพทย์คนไหนรักษาให้คนทุกคนหายจากทุกโรคได้ และไม่ได้แปลว่าหมอที่เคยรักษาโรคคนหนึ่งหายแล้วจะรักษาอีกคนหนึ่งในโรคเดียวกันได้ เพราะอย่างไรเสียมนุษย์ทุกคนก็ต้องมีวันสิ้นอายุขัยด้วยโรคใดโรคหนึ่ง เป็นธรรมดาตามแต่บุญและกรรมของตัวเองที่ได้กระทำมาอยู่ดี
       
        จากสถิติ 194 ประเทศ พบว่ามนุษย์ทั่วโลกมีอายุขัยโดยเฉลี่ย 67.2 ปี ผู้หญิงมีอายุยืนมากกว่าผู้ชาย โดยผู้หญิงมีอายุขัยโดยเฉลี่ย 69.5 ปี ส่วนผู้ชายมีอายุขัยโดยเฉลี่ย 65.0 ปี
       
        ส่วนสถิติของมนุษย์ที่มีอายุยืนที่สุดในโลกเท่าที่เคยพบมาชื่อ นายลีชุนยุง เป็นชาวจีนผู้เกิดในปี พ.ศ. 2220 และตายในปี พ.ศ.2476 สิริรวมอายุได้ 256 ปี พบว่านายลีชุนยุงผู้นี้เป็นนักมังสวิรัติไม่รับประทานอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์เลย และเชี่ยวชาญเรื่องสมุนไพรและยาอายุวัฒนะ
       
        ส่วนประเทศไทยประชากรมีอายุขัยโดยเฉลี่ย 70.6 ปี ผู้หญิงมีอายุยืนมากกว่าผู้ชาย โดยผู้หญิงไทยมีอายุขัยโดยเฉลี่ย 75 ปี ส่วนผู้ชายไทยมีอายุขัยอยู่ที่ 66.5 ปี อายุขัยของคนไทยอยู่ในอันดับ 111 ของโลก อายุยืนมากว่าอายุเฉลี่ยของมนุษย์ทั่วโลกเพียงเล็กน้อย
       
        ดังนั้นใครผู้หญิงไทยคนใดมีอายุเกิน 75 ปี และผู้ชายไทยคนใด มีอายุเกิน 66.5 ปีแล้ว ก็ขอให้เข้าใจเถิดว่าคนเหล่านั้นมีอายุยืนกว่าคนไทยทั่วไปแล้ว และมีอายุยืนกว่าอายุเฉลี่ยของมนุษย์ทั่วโลกแล้ว
       
        จากสถิติพบว่า ในปี พ.ศ. 2553 คนไทยมีจำนวนผู้เสียชีวิต 411,331 คน คิดเป็นอัตราการเสียชีวิต 645.7 คนต่อประชากรไทย 1 แสนคน พบว่าสาเหตุของการเสียชีวิตของคนไทยเป็นดังนี้
       
        อันดับที่ 1 คือ "มะเร็งและเนื้องอกทุกชนิด" โดยในปี พ.ศ. 2553 มีผู้ที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง 58,076 คน คิดเป็นอันตรา 91 คนต่อประชากรไทย 1 แสนคน
       
        อันดับที่ 2 คือตายเพราะอุบัติเหตุ หรือเหตุการณ์ที่ไม่สามารถระบุเจนาและปัจจัยเสริมที่มีความสัมพันธ์กับสาเหตุการตาย คิดเป็นอัตรา 51.6 คนต่อประชากรไทย 1 แสนคน
       
        อันดับที่ 3 คือตายเพราะความดันเลือดสูงและโรคหลอดเลือดในสมอง คิดเป็นอัตรา 31.4 คนต่อประชากรไทย 1 แสนคน
       
        อันดับที่ 4 คือตายเพราะโรคหัวใจ คิดเป็นอัตรา 28.9 คนต่อประชากรไทย 1 แสนคน ส่วน
       
        อันดับที่ 5 คือตายเพราะโรคปอดอักเสบและโรคอื่นๆของปอด คิดเป็นอัตรา 25.7 คนต่อประชากรไทย 1 แสนคน
       
        จากสถิติที่กล่าวมาข้างต้น ไม่วันในวันหนึ่งเราก็อาจจะต้องตายด้วยสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งจากโรคยอดฮิตข้างต้นเหล่านี้ก็ได้ เพียงแต่เป็นที่น่าสังเกตุว่าคนไทยป่วยเป็นโรคมะเร็งเพิ่มมากขึ้นทุกปี
       
        วิวัฒนาการของแพทย์แผนปัจจุบันในการจัดการกับโรคมะเร็งนั้น ก็ยังคงอยู่ในสูตรเดิม คือ 1. ผ่าตัด 2.ฉายแสง 3. คีโมบำบัด แต่ที่กำลังเป็นวิวัฒนาการของโลกที่พยายามเอาชนะโรคมะเร็งอยู่ในปัจจุบันก็คือการทำวัคซีน หรือเซรุ่ม ซึ่งได้ผลดีมาก แต่ยังไม่สามารถเอาชนะมะเร็งได้ในทุกพื้นที่ของร่างกาย ผลปรากฏว่าแพทย์แผนปัจจุบันสามารถรักษามะเร็งที่หายไปได้ไม่น้อย ที่ไม่หายก็มีมาก และที่ได้รับผลข้างเคียงและการการลุกลามไปที่อื่นก็มีมากเช่นกัน
       
        ส่วนแพทย์ทางเลือก แพทย์แผนจีน แพทย์แผนไทย ธรรมชาติบำบัด ปัจจุบันมีหลายสูตรมาก ส่วนใหญ่เน้นการใช้สมุนไพร การปรับสูตรอาหารกินพืชอาหารฤทธิ์ด่าง การรักษาจิตใจให้ดีผ่องใส ตลอดจนการล้างพิษออกจากร่างกายให้มากที่สุด ฯลฯ พบว่าส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีการเก็บสถิติอย่างเป็นระบบสักเท่าไหร่
       
        กรณีศึกษาต่อไปนี้น่าจะเป็นตัวอย่างให้พิจารณากับโรคร้ายที่เป็นสาเหตุที่ทำให้คนไทยตายมากที่สุดคือโรคมะเร็ง และยิ่งเป็นเรื่องที่ยากมากหากจะรักษาให้โรคมะเร็งระยะที่ 4 ซึ่งถือว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายที่จะไปรุกรานร่างกายจนไม่สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้
       
        คุณสินห์ฉวี ภู่ไพบูลย์ (คุณเจี๊ยบ)ปัจจุบันอายุ 53 ปี เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 ได้ไปตรวจกับแพทย์แผนปัจจุบัน ในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง กรุงเทพมหานคร พบมะเร็งที่ปอด 1 จุด ความยาว 4 เซนติเมตรออก จึงได้ทำการผ่าตัดทันทีในขณะที่แพทย์ได้ผ่าตัดนั้น จึงได้เลาะต่อมน้ำเหลือง 10 จุด พบว่ามีเซลล์มะเร็งเกิดขึ้น 1 จุด แพทย์สรุปว่าเป็นมะเร็งระยะที่ 2
       
        ต่อมาจึงต้องมีการักษาโดยการใช้คีโมบำบัดเข้าทางเส้นเลือด 6 คอร์ส จำนวน 12 ครั้ง โดยเฉลี่ยเดือนละ 1 ครั้ง จนถึงเดือน สิงหาคม พ.ศ. 2554 ในระหว่างนั้นเกิดอาการข้างเคียงอย่างหนัก ต้องกลับเข้าไปนอนโรงพยาบาลหลายครั้ง เพราะอาเจียนไม่หยุด แม้ให้ยาลดการอาเจียนก็ไม่สามารถหยุดได้ ผมร่วงและร่างกายรู้สึกทุกข์ทรมานมาก
       
        จนกระทั่งเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 แพทย์จึงตรวจอีกครั้งด้วยการใช้เครื่อง ซีทีสแกน พบว่ามีการแพร่กระจายของมะเร็งมากขึ้นกว่าเดิมเป็นเม็ดสาคู กระจายอยู่ที่ปอดทั้งสองข้างเต็มไปหมด มะเร็งได้ลุกลามเพิ่มขึ้นจากระยะที่ 2 กลายเป็นระยะที่ 4 (ซึ่งคือระยะสุดท้ายก่อนที่จะเสียชีวิต) แต่ด้วยการรักษาที่กรุงเทพมีราคาสูงมาก จึงได้ย้ายโรงพยาบาลไปรักษาตัวต่อที่ภาคใต้ โดยแพทย์ได้ระบุว่าเป็นลักษณะของกรรมพันธุ์และเป็นมากแล้วจึงรักษายาก จึงให้คีโมต่อโดยการรับประทานแทน และบอกว่าหากไม่รักษาต่อก็จะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกิน 7 เดือน
       
        แต่เนื่องจากการรักษาตัวที่ใช้เวลานานแล้วปรากฏผลว่าทรุดลง และมะเร็งลุกลามมากขึ้นคุณสินห์ฉวี ภู่ไพบูลย์ จึงตัดสินใจเข้าหลักสูตรล้างพิษตับ ที่ "ธัญสมุย ศูนย์ดูแลสุขภาพแบบองค์รวม" เกาะสมุย ตามคำแนะนำของ คุณชญาบุญ เพชรพรหม (คุณกอบ) ผู้ดำเนินการและควบคุมหลักสูตรล้างพิษตับที่ธัญสมุย ซึ่งแนะนอนว่าการเข้าหลักสูตรเช่นนี้จะต้องมีการดำเนินการหลายอย่างเช่น การอดอาหาร, การดื่มน้ำผลไม้และน้ำสมุนไพรที่กำหนดในแต่ละช่วงเวลา, การดื่มน้ำด่าง (อัลคาไลน์)เพื่อลดความเป็นกรดในร่างกาย, การทำออลย์พูลลิ่ง (อมน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นแล้วบ้วนออกเพื่อดึงเชื้อโรคออกจากร่างกาย), การทำดีท็อกซ์สวนทวารล้างลำไส้, การรับประทานดีเกลือ, การดื่มน้ำมันมะกอกผสมมะนาวและน้ำผึ้งในเวลา 4 ทุ่มของคืนสุดท้าย, การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ฯลฯ
       
        ผลการล้างพิษตับปรากฏว่าครั้งแรกนิ่วในตับและถุงน้ำดีสีเขียวเยอะมากเต็มถังเป็นสีเขียว ครั้งที่สองทำอีกสองอาทิตย์ปรากฏว่ามีไขมันออกมาด้วย
       
        หลังจากการล้างพิษตับ 2 ครั้งแล้วไปตรวจกับแพทย์แผนปัจจุบันพบว่าเม็ดสาคูในปอดจากมะเร็งระยะที่ 4 ได้หายไปทั้งหมด !!!?
       
        ปัจจุบันคุณสินห์ฉวี ภู่ไพบูลย์ (คุณเจี๊ยบ) ได้ไปล้างพิษตับอีกหลายครั้ง แต่ความน่าอัศจรรย์คือนอกจากจะมีชีวิตยืนยาวกว่า 7 เดือนที่แพทย์คาดการณ์แล้ว มะเร็งที่ปอดระยะที่ 4 ก็หายไปทั้งหมดด้วยตั้งแต่การล้างพิษตับในครั้งที่ 2 ปัจจุบันคุณสินห์ฉวี จึงได้ผสมผสานการล้างพิษตับผสมผสานไปกับการรักษาในแนวทางของหมอเขียว อีกทั้งยังดื่มน้ำปัสสาวะเป็นยาตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่บัญญัติเอาไว้ในพระไตรปิฎกด้วย
       
        ผมจึงได้โอกาสสัมภาษณ์ รศ.นพ.สำเริง รัตนระพี อาจารย์แพทย์ ภาควิชาพยาธิวิทยา (Department of Pathology) คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล ซึ่งได้ให้ความเห็นต่อกรณีที่เกิดขึ้นว่า กรณีดังกล่าวนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่เซลล์มะเร็งที่ปอดจะหลุดออกมาผ่านระบบขับถ่ายเพราะอยู่คนละส่วนกัน แต่น่าจะเป็นเพราะร่างกายเมื่อได้นำไขมันและของเสียจากตับและถุงน้ำดีออกไปได้แล้ว ทำให้ตับทำงานฟื้นตัวได้ดีขึ้น ภูมิต้านทานในร่างกายจึงกลับคืนมา จนเซลล์มะเร็งที่ปอดไม่สามารถจะอยู่ได้มากกว่า
       
        รศ.นพ.สำเริง รัตนระพี ยังให้ความเห็นเพิ่มเติม อุปมาเปรียบตับเหมือนรถบรรทุกที่มีหินอยู่เต็มคันรถ ยิ่งมีมากยิ่งเคลื่อนได้ช้า หากมีมากขึ้นไปอีกก็ไม่สามารถแล่นได้ หากสามารถลดภาระของรถบรรทุกให้ลดน้อยลงโดยการนำหินออกไปจากรถบรรทุกบ้าง รถบรรทุกนั้นก็จะกลับมาแล่นได้เร็วขึ้น
       
        ทั้งนี้ รศ.นพ.สำเริง รัตนระพี ยังให้ความเห็นอีกด้วยว่า สิ่งที่ออกมาจากการล้างพิษตับ เช่น ก้อนสีเขียวนั้น แท้ที่จริงหากผ่าร่างกายก็จะพบสิ่งเหล่านี้ในร่างกายอยู่แล้ว สิ่งเหล่านี้คือไขมันจากบริเวณถุงน้ำดีและตับ หากปล่อยทิ้งไว้ก็จะตกตะกอนกลายเป็นก้อนที่แข็งขึ้นและกลายเป็นนิ่วได้ในที่สุด ดังนั้นการสามารถนำมาออกได้น่าจะมีส่วนในการฟื้นฟูการทำงานของตับโดยตรง
       
        อย่างไรก็ตาม รศ.นพ.สำเริง รัตนระพี ยินดีให้ความร่วมมือสนับสนุนหลักสูตรล้างพิษตับ โดยการจะตรวจสิ่งที่เป็นผลิตผลจากการล้างพิษตับ เพื่อทดลองในห้องแลปให้ โดยที่จะต้องเก็บตัวอย่างเหล่านั้นในแอลกอฮอล์ 95% เพื่อที่จะได้ทำให้เกิดความก้าวหน้าในการศึกษากรณีดังกล่าวให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
       
        สุดท้าย รศ.นพ.สำเริง รัตนระพี ยังให้ความเห็นเพิ่มเติมในการควบคุมอาหาร ลดความเป็นกรดในร่างกาย รับประทานอาหารพืชผักผลไม้ และน้ำที่มีสภาพความเป็นด่าง (อัลคาไลน์)ให้มากขึ้น แต่สำคัญที่สุดมากไปกว่านั้นคือจะต้องออกกำลังกายให้สม่ำเสมอเพื่อทำให้ร่างกายมีความแข็งแรงและมีภูมิต้านทานต่อโรคภัยไข้เจ็บได้ดีขึ้น อันเป็นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน เพราะการไปแม้แต่โรงพยาบาลก็ยังอาจจะพบเชื้อโรคร้ายแรงในโรงพยาบาลที่ดื้อต่อยาหลายชนิดได้ด้วย
       
        ผมเห็นด้วยกับพลตรีจำลอง ศรีเมือง ที่ว่าลางเนื้อชอบลางยา คนแต่ละคนอาจจะหายจากโรคร้ายด้วยวิธีที่ไม่เหมือนกัน แต่อย่างน้อยกรณีศึกษากรณีนี้ก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่น่าศึกษาสำหรับคนที่ยังมีกำลังอยู่ที่จะลองการล้างพิษตับก่อนที่จะไม่มีกำลังที่จะล้างพิษตับ และหากหายจากโรคร้ายได้ก็แสดงว่ายังมีช่วงเวลาชีวิตที่ยืนยาวขึ้นจากการหมดโรคกรรมเหล่านั้น
 
 
 
กรด หรือ ด่าง เลือกให้ถูก กินให้เป็น
 
          ในสมัยต้นศตวรรษที่ 20 มีนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลได้ค้นพบว่า หากร่างกายไม่ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ เราอาจล้มป่วยด้วยโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ โรคพยาธิติดเชื้อ เบาหวาน ฯลฯ
 
          ปริมาณออกซิเจนที่ร่างกายดูดซึม สามารถวัดได้ด้วยค่า pH ซึ่งมีระดับตั้งแต่ 0 ถึง 14 หากวัดได้ที่ค่า 0 หมายถึง เลือดมีความเป็นกรดสูง และไล่ไปจนถึงค่า pH ที่ 14 หมายถึง เลือดมีความเป็นด่างสูง ซึ่งระดับที่ร่างกายมีความสมดุลของกรดด่าง และออกซิเจนจะอยู่ที่ประมาณ 7.365 ค่อนไปทางความเป็นด่างเล็กน้อย และหากค่า pH สูง หรือต่ำจนเกินไป คุณจะรู้สึกไม่สบาย เหนื่อยล้า น้ำหนักขึ้น ท้องผูก และปวดเมื่อย
 
          ผู้คนส่วนใหญ่ในแถบอเมริกาและยุโรป จะมีร่างกายที่มีความเป็นกรดมากกว่าด่าง เพราะอาหารที่บริโภคและการใช้ชีวิต จึงทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมออกซิเจนได้เพียงพอ ทำให้เราสามารถพบเห็นมะเร็ง โรคหัวใจ เบาหวาน กันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ในกลุ่มประเทศแถบนี้
 
         4 สาเหตุหลัก ที่ทำให้ร่างกายมีความเป็นกรดสูง ได้แก่ ความเครียด สารพิษ เชื้อโรค และอาหารที่เรารับประทาน
 
อาหารที่มีความเป็นกรด
 
          อาหารโดยส่วนใหญ่ในช่วงชีวิตของเรา โดยมากจะมีค่าเป็นกรด ซึ่งอาหารเหล่านี้จะทำให้เราป่วยและเหนื่อยง่าย และน่าเสียดายที่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นอาหารสุดโปรดของเราทั้งนั้น เช่น
 
          • ฟาสต์ฟู้ด
          • น้ำตาล
          • ชา กาแฟ
          • เนื้อสัตว์
          • แป้ง
          • ผลไม้รสหวาน
          • เดลี่โปรดักส์
          • ไขมัน
          • ถั่ว เม็ดมะม่วงหิมพานต์
 
อาหารที่มีความเป็นด่าง
 
          อาหารที่มีความเป็นด่างสูง สามารถช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนในเลือดให้คุณ การรับประทานอาหารที่มีค่าเป็นด่าง จะช่วยให้ร่างกายของเราสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยต่างๆ ได้ อาหารนั้นได้แก่
 
          • ผัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผักใบเขียว
          • สลัด ที่ได้มาจากผักจำพวกผักกาด ผักขม ขึ้นฉ่ายยักษ์ แตงกวา อะโวคาโด เป็นต้น
          • เครื่องเทศ เช่น โหระพา สะระแหน่ ผักชีฝรั่ง ขิง
          • ผลไม้ จำพวก แตงโม อะโวคาโด แตงกวา มะพร้าวอ่อน
          • Wheat Grass
          • กล้าหรือยอดผักต่างๆ เช่น หัวแอลฟัลฟา ถั่ว บรอกโคลี
 
          ส่วนน้ำดื่มที่ดีที่สุดก็จะเป็นน้ำเปล่าที่มีค่าความเป็นด่าง น้ำผัก และน้ำ Wheat Grass ถ้าร่างกายของเรามีค่าความเป็นกรด เราก็ควรที่จะรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่มีค่าความเป็นด่าง เพื่อให้เกิดความสมดุลของระบบในร่างกาย
 
          กล่าวโดยรวมคือ การรับประทานอาหารที่มีความเป็นด่างนั้น จะช่วยฟื้นฟูสุขภาพร่างกายให้ดีขึ้นจากภายใน ทำให้เราพร้อมที่จะปฏิบัติกิจวัตรประจำวันต่างๆ ด้วยความสดใสและมั่นใจ
       
        ประการสุดท้าย การมีชีวิตยืนยาวขึ้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ทุกคนก็ควรจะถามตัวเองว่าเราจะใช้เวลาชีวิตที่เหลือทำบุญสร้างกุศลก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ ศาสน์ กษัตริย์อย่างไร ตรงนั้นต่างหากเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าเพราะสุดท้ายมนุษย์ทุกคนก็ต้องตายตามอายุขัยของตัวเองอยู่ดี...

 
ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:

 
สาระความรู้ทั่วไปสำหรับเจ้าของน้องตูบ
- อาหารแสลง ที่ควรเลี่ยงเมื่อป่วย [8 กันยายน 2555 11:30 น.]
- พืชขาดธาตุอาหารอะไร ?..ใส่ใจสักนิด... [8 กันยายน 2555 11:30 น.]
- ปวดท้อง...ลางบอกโรคร้ายของคุณ [8 กันยายน 2555 11:30 น.]
- การรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำและลดความเสี่ยง จากโรคมะเร็ง [8 กันยายน 2555 11:30 น.]
- ซอสปรุงรส [8 กันยายน 2555 11:30 น.]
- รู้จักไหม?...“ต้นผึ้ง” มีหนึ่งเดียวที่ราชบุรี [8 กันยายน 2555 11:30 น.]
- เลือดจระเข้ [8 กันยายน 2555 11:30 น.]
- การทำน้ำด่าง (อัลคาไลน์) สำหรับดื่มอย่างง่าย [8 กันยายน 2555 11:30 น.]
- กิน ‘สมอ’ ดีเสมอ [8 กันยายน 2555 11:30 น.]
- ปัสสาวะหลวงพ่อ [8 กันยายน 2555 11:30 น.]
ดูทั้งหมด

Copyright@2010 by www.nongtoob.com All right reserved.
Engine by MAKEWEBEASY